นิยามของ ไดเมียว ไดเมียวคืออะไร




นิยามไดเมียวคืออะไร


 ไดเมียว คือผู้ครองเมือง ผู้ครองแคว้นที่มีอำนาจมากพอจะขึ้นมาเป็นโชกุนได้

เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากโชกุนและไดเมียวจากหลาย

ตระกูลก็ได้เป็นโชกุนในเวลาต่อมามีความสำคัญกับการเมืองการปกครองการ

ทหารของญี่ปุ่นในสมัยระบอบฮัน เป็นอย่างมาก


โตกุกาวะ อิเอยาสุ

นิยามของ ไดเมียว


1. เจ้าเมือง เจ้าแค้วน :


2. ต้นสังกัดซามูไร : ซามูไร คือผู้รับใช้ไดเมียว คอยทำหน้าที่ต่างๆแบ่งขั้นหลาก

หลาย ไดเมียวที่จะขึ้นเป็นใหญ่ต้องมีซามูไรที่เก่งกาจอยู่ในมือด้วยเช่นกัน


3. โชกุน : ไดเมียวที่แข็งแกร่งจะได้ขึ้นมาเป็นโชกุน ไดเมียวผู้ชนะจะได้ขึ้นมา

เป็นผู้ปกครองไดเมียวทั้งปวงมีอำนาจสูงสุดถึงแม้ไม่ได้เป็นโชกุน เพราะมาจาก

ตระกูลต่ำ ตระกูลชาวนาซึ่งไม่มีบารมีพอแต่ก็มีอำนาจเหนือไดเมียวอื่น อย่าง

โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ  ก็ขึ้นเป็นโชกุนไม่ได้ (แต่สุดท้ายก็เป็น คัมปะกุ หรือผู้สำเร็จ

ราชการแทนจักรพรรดิ) มีอำนาจล้นเหลืออยู่ดี


4. ลูกหลานโชกุน : เป็นลูกหลายสายตระกูลของโชกุน ทั้งสาขาหลักและสาขา

ย่อยที่ลงมาปกครองตามเมืองต่างๆ


5. ผู้บริหาร : ไดเมียวจะแบ่งเป็น 3 ชั้นคือ ชินปังคือ ฮังที่ปกครองโดยไดเมียว

ซึ่งเป็นเครือญาติหรือสาขาย่อยของตระกูลโตกุกาวะ


 ไดฟุไดเมียว คือไดเมียวคนสนิทรับใช้โชกุนมีอำนาจในการบริหารงานของรัฐบาล

ทหาร บาคุฟุ


โทซะมะ ไดเมียวจากแคว้นห่างไกล ที่ไม่มีบทบาทมากมายนักในการบริหาร ไดเมียว

ที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ปกครองแคว้นใหญ่ในยุคเซ็งโงะกุที่ถูกผนวกให้เข้ามาอยู่ใน

อำนาจโชกุน


6. ท่านรอง :  เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองหรือเจ้าแคว้นที่มีความสำคัญรองลงมาจากโชกุน

อยู่ภายใต้การปกครองของโชกุนหรือจักรพรรดิ (ส่วนใหญ่จะโชกุนมากกว่านะ)


7. ผู้เปลี่ยนแปลง : พลังของไดเมียวถ้ารวมตัวกันก็สามารถงัดข้อกับโชกุนได้

อย่างไดเมียวระดับ โทซะมะที่งัดกับโชกุนในช่วงปลายโทกุกาวะ โดยยกเรื่องการคืน

อำนาจให้องค์จักรพรรดิก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลครั้งใหญ่ในการปกครองของญี่ปุ่น

หรือการปฏิรูปเมจิ


8. อดีตเจ้านายของโรนิน : อย่างพวกโรนินทั้ง 47 ที่นายตัวเองเป้นไดเมียวโดน

ยั่วยุจากขุนนางในเอโดะจนทำผิดพลาดนำมาซึ่งความตายซามูไรนับร้อยชีวิตของ

เขาจึงต้องตกเป็นโรนิน (ซามูไรไร้นาย ไร้ผู้ให้รับใช้) จึงมีเรื่องการแก้แค้นกู้เกียรติ

ของเจ้านายนำโดย โรนิน 47 คน กลายเป็นตำนานแห่งความซื้อสัตย์และวิถีแห่งบูชิโด


9. ตัวประกัน : ในยุคของโชกุนตระกูลโตกุกาวะนั้น ไดเมียวต้องมีปราสาทอยู่ในเอโดะ

และต้องมาอยู่เป็นคล้ายๆตัวประกันอยู่ในเอโดะพร้อมครอบครัว1 ปี และกลับไปบริหาร

ดูแลแคว้นอีก 1ปี และปีต่อก็กลับมาเอะโดะอีกสลับไปมาอยู่อย่างนั้นเพื่อเป็นการลด

ทอนกำลังและอำนาจของไดเมียวที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของโชกุน


10. ผู้ปกป้อง : จากข้อข้างบนไดเมียวอาจจะเป็นผู้ทำลายโชกุนได้หรือขึ้นมาเป็น

โชกุนแทน แต่อย่างไรนั้นไดเมียวก็ยังเป้นพวกที่ปกป้องโชกุนได้เช่นกันรวมถึงป้องกัน

ประเทศจากต่างชาติ เป็นชนชั้นซามูไรที่ต้องคอยปกป้องดูแลเขตแคว้นและประชาชน

ของตน เพราะทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง แม่มีหน้าที่แม่ ชาวนามีหน้าที่ทำนา ซามูไร

ก็มีหน้าที่ของตัวเองเช่นกันซึ่งพวกเขาคือผู้ปกป้อง ถ้าเห็นว่าสิ่งใดเป็นภัยก็กำจัด

สิ่งใดสมควรปกป้้องก็สู้ปกป้องจนตัวตายไว้ซึ่งศักศรีดิ์เกียรติของตนและพวกพ้อง






บาคุฟุ (Bakufu) คือ




บาคุฟุ


     บาคุฟุ คือแปลว่า "ทำเนียบรัฐบาล" หมายถึงระบอบการปกครองที่นำโดย

โชกุน 

โชกุน หรือชื่อตำแหน่งทางการว่า เซอิไทโชกุน เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งโดยองค์

พระจักรพรรดิที่เมืองเกียวโต มอบให้แก่ซามูไรชั้นสูงที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูล

มินาโมโตะโบราณ ซึ่งเราจะพูดถึงบาคุฟุในสมัยของตระกูลโตกุกาวะคือการปกครอง

ระบบศักดินาที่สถาปนาขึ้นโดย โชกุนคนแรก ของตระกูลโตกุกาวะ

โตกุกาวะ อิเอยาสุ
 โตกุกาวะ อิเอยาสุ :  คือผู้สถาปนาบาคุฟุ (รัฐบาลทหาร) ที่เมือง เอโดะ(โตเกียวในปัจจุบัน)
และ โชกุน คนแรกของ ตระกูลโตกุกาวะ

 คือ โตกุกาวะ อิเอยาสุ เป็นเสมือนรัฐสภาขึ้นมาปกครองประเทศญี่ปุ่นโดยมีเหล่าบรรดา

ไดเมียวจากแค้วนต่างๆในเขตของญี่ปุ่นเข้ามร่วมกันปกครองบ้านเมืองโดยมีหัวหน้าหรือ

ประมุขใหญ่คือ โชกุน ซึ่งมีหน้าที่รับใช้ดูแลประเทศจากองค์จักรพรรดิที่เกียวโต แต่ความ

จริงแล้วนั้นอำนาจบริหารทั้งหมดก็อยู่ที่โชกุนอยู่ดี มิใช่ที่องค์จักรพรรดิแต่อย่างใด การ

บริหารแนวทางการปกครองต่างๆก็ออกจากบาคุฟุไปทั้งหมด


        ใช้อำนาจบริหารประเทศแก้ปัญหาและวางนโยบายต่างๆให้แก่ประเทศทั้งสิ้น

ซึ่งก็อยู่ในอำนาจของโชกุนตระกุลโตกุกาวะ อีกเช่นเคยมีสภาขุนนาง ทำหน้าที่เป็นผู้ให้

คำชี้แนะแก่โชกุน ประกอบด้วย


 - โรจู เป็นตำแหน่งขุนนางอาวุโสที่สูงที่สุดรองจากโชกุน เป็นคนคอยให้คำปรึกษาและ

เสนอแนวทางบริหาร


 - ไทโร เป็นตำแหน่งขุนนางอาวุโสที่มีอำนาจเหนือโรจู แต่ไม่ใช่ตำแหน่งตายตัวจะตั้ง

ก็ได้หรือตั้งพอเป็นพิธีก็ได้ หรืออาจจะตั้งมาเพื่อบริหารงานเนื่องจากโชกุนไม่สามารถ

ทำได้ด้วยตัวเองอย่างในยุคของ โตกุกาวะ อิเอโมชิ ที่เป็นโชกุนตั้งแต่ยังเด็กจึงต้องมี

ไทโรขึ้นมาช่วยดูแลงาน


 - วากาโยชิโดริ ตำแหน่งขุนนางอายุน้อย ทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้ส่วนตัวของโชกุน


 - บุเกียว เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการเงินและดูแลเมืองที่ปกครองโดย บาคุฟุ เขต

ปกครอของโชกุนที่ไม่ใช่ของไดเมียวอื่นๆ


ฮัน คือพื้นที่ปกครองที่ห่างออกไปให้แก่ไดเมียวไปปกครองซึ่งเป้นเหมือนเขตแคว้นที่

ขึ้นตรงต่อโชกุนนั่นเอง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมีกำลังทหารได้ระบบฮันที่ให้ไดเมียว

ไปปกครองแบ่งได้ตามชั้น ดังนี้


 - ชินปัง ปกครองโดยไดเมียวซึ่งเป็นเครือญาติหรือสาขาย่อยของตระกูลตะกูลโทกุกาวะ

ซึ่งใกล้ชิดสนิทกับโชกุนมากที่สุดคือพวกโกะซังเกะ สาขาย่อยของตระกูลโตกุกาวะที่

สามารถเข้ารับตำแหน่งโชกุนได้หากสาขาหลักของโชกุนสิ้นสุดลง


 - ฟุได  ไดเมียวที่มาจากตระกูลที่เป็นข้ารับใช้เดิมของตระกูลโตกุกาวะ หรือเข้าเป็นพวก

สวามิภักดิ์ก่อนยุทธการเซะกิงะฮะระ ซึ่งไดเมียวตระกูลเหล่านี้มีอำนาจและบทบาทที่

สำคัญในการปกครองส่วนกลางของรัฐบาลบาคุฟุเป็นอย่างมาก


 - โทซะมะ ไดเมียวที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ปกครองแคว้นใหญ่ในยุคเซ็งโงะกุ และถูก

ผนวกเข้ามาอยู่ในอำนาจของโชกุนหลังจากสงครามยุทธการเซะกิงะฮะระ ซึ่งก็คือผู้แพ้

หรือพวกที่ไม่อ่อนข้อต่อสงครามในยุคแรกก่อตั้งบาคุฟุโทซะมะถือว่ามีฐานะต่ำกว่า

ไดเมียวฟุไดและถูกกีดกันจากการปกครองส่วนกลาง



    เพื่อเป็นการตัดปัญหาเรื่องความมั่นคง แต่โทซะมะเหล่านี้มักมีแคว้นที่ใหญ่และ

มีความชำนาญในพื้นที่มากมีอำนาจอยู่รอบนอกมาอยู่ทำให้โชกุนต้องลดอำนาจของ

พวกโทซะมะ (ที่จริงก็ทุกพวกแหละ)ในยุคของ โทกุกาวะ อิเอมิสึ จึงได้จัดการนโยบาย

ตัวประกันขึ้น คือ ซังคิง โคไตให้ไดเมียวทุกแคว้นสร้างปราสาทภายในเมืองเอโดะ

ให้พักอยู่ที่ปราสาท 1 ปีแล้วกลับไปปกครองแคว้นอีก 1 ปี สลับกันไปมาโดย 1 ปีที่

ไม่ได้อยู่ปกครองก็จะให้พ่อบ้านหรือคะโร เป็นคนปกครองแทนไป และบรรดาภรรยา

และบุตรของไดเมียวนั้นๆจะต้องอยู่ที่เอโดะตลอดเวลาห้ามตามไปด้วยซึ่งแคว้นของ

ไดเมียวพวกโทซะมะนั้นอยู่ไกลการเดินทางลำบากและสิ้นเปลือง เสมือนการตัดกำลัง

และลดอำนาจไปในตัว อย่างไรซะบาคุฟุก็ต้องล่มสลายลงด้วยฝีมือของบรรดาไดเมียว

โทซะมะอยู่ดีในตอนท้ายที่สุด


   บาคุฟุ แปลง่ายๆคือ รัฐบาลของโชกุนที่ใช้ในการบริหารประเทศ จะดีหรือร้ายก็

ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายที่ออกไปจากที่นี่ขนาดองค์จักรพรรดิยังไม่สามารถทำอะไรได้

อย่างมากสุดเพียงแค่แสดงความไม่พอใจเท่านั้นแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งหรือห้ามอะไร

ได้นอกเสียจากจะมีไดเมียวพวกโทซะมะสนับสนุนหรือไม่เห้นชอบก่อการขึ้นอย่างใน

การปฏิรูปเมจิที่ทำให้ ระบบฮันและโชกุนไดเมียวทั้งหลาย ล่มสลายลง

บาคุฟุ = Bakufu




โชกุน คืออะไร




โชกุน คืออะไร


  โชกุน (shogun โชงุง ) เป็นชื่อเรียกตำแหน่งทางการทหารของญี่ปุ่นสมัยโบราณ  

คำว่าโชกุนเป็นคำย่อของคำว่า เซอิไทโชกุน ( sei-i taishogun) หรือแม่ทัพปราบแดน

เถื่อน รัฐบาลของโชกุนมีชื่อเรียกว่าบาคุฟุ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการบริหารประเทศ

ที่มีไดเมียวแต่ละแคว้นปกครองตนเองคล้ายๆรวมตัวกันอยู่ใต้อำนาจโชกุนในรูปแบบ

สมาพันธรัฐ ซะมากกว่าราชอาณาจักร ซึ่งจริงๆญี่ปุ่นก็มีสมเด็จพระจักรพรรดิแต่เป็น

เหมือนสมมติเทพเป็นโอรสของเทพเจ้าเป็นสัญลักษณ์ความเคารพของผู้คนเสียมาก

กว่าไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมายจนถึงช่วงปฏิรูปเมจินั่นเอง โชกุนที่ดังๆ ที่รู้จักกัน

ก็ โชกุน อาชิคางะ จาก อนิเมะ ยุค70 อย่างอิคคิวซัง หรือ โชกุน อิเอยะสุ ที่เป็น

โชกุนคนแรกของตะกูล โตกุกาวะ ที่ก่อนจะเกิดเกิดปฎิรูปเมจิ ที่มักมีเอาเรื่องราว

ช่วงนั้นมาทำเป็นซีรีย์ การ์ตูน อนิเมะอยู่บ่อยครั้ง ซีรีย์ที่ตรึงใจแอดมากที่สุดคืด

อัทสึฮิเมะ หรือ เจ้าหญิงอัทสึ นั่นเอง



    อำนาจของโชกุนในยุคแรกนั้นเป็นเสมือนผู้มีอำนาจในด้านการทหารการสงคราม

ซึ่งเป็นอำนาจชั่วคราวเพราะเป็นตำแหน่งที่ถูกส่งไปปราบคนเถื่อนไปเพื่อทำสงคราม

แต่หลังจาก มินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ ในช่วงปี ค.ศ.1192 ได้ตั้งรัฐบาลปาคุฟุขึ้น

ซึ่งกลายเป็นรัฐบาลทหารนั่นแหละครับ ยึดอำนาจมาปกครองประเทศเสียเองเลย

ใช้กำลังและพวกที่นอบน้อมต่อตน ในช่วงแรกหรือบางช่วงก็ได้รับการแต่งตั้งพอเป็น

พิธีจากทางจักรพรรดิ ซึ่งเป็นการแต่งตั้งเพียงในนามเท่านั้นอำนาจในการสืบทอดหรือ

ตัวโชกุนรุ่นต่อๆมาที่สืบต่อกันก็ไม่ได้อยู่ที่จักรพรรดิหรอก อีกนัยนึงคือไดเมียวซึ่งเป็น

เจ้าผู้ครองแคว้นครองเมืองต่างๆบนเกาะของประเทศญี่ปุ่นทั้งหลายแหละครับ ที่จะขึ้น

เป็นโชกุนอยู่ที่ว่าใครมาจากตระกูลไหนและมีอำนาจยอมให้ผู้อื่นสยบมากเพียงใด 

ไดเมียวที่มีชื่อเสียงแต่มาจากตระกูลต่ำ อย่าง โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ  ก็ขึ้นเป็นโชกุน

ไม่ได้แต่ยังมีความสามารถเชิดคนอื่นได้และกลายเป็นไดเมียวที่มีอำนาจมากกว่า

โชกุน 


   ถ้าจะให้เรียกแบบเราๆก็นอมินี ดีๆ นั่นเอง (แต่สุดท้ายก็เป็น คัมปะกุ หรือผู้สำเร็จ

ราชการแทนจักรพรรดิ)  โชกุนแต่ละคนที่ขึ้นมาก็ต้องปกครองและผ่านสงครามกัน

มาทั้งสิ้นหรือไม่ก็ต้องมีเสียงสนับสนุนจากไดเมียวอื่นๆ ซึ่งประกอบรวมตัวกันเรียกว่า

พันธมิตรแบบ ชินปังที่ปกครองโดยไดเมียวซึ่งเป็นเครือญาติหรือสาขาย่อยของโชกุน 

รวมไปถึง ฟุไดไดเมียว เป็นกลุ่มผู้จงรักภักดีต่อโชกุนในระดับปานกลาง โดยจะเป็น

กลุ่มตระกูลผู้รับใช้มาเก่าก่อนหรือเข้ามาก่อนสงคราม (สงครามในที่นี้ก็คือสงคราม

เพื่ออย่างชิงความเป็นใหญ่ อย่าง สงครามเซกิฮาระ ) อีกพวกคือโทซะมะไดเมียว

ก็คือแคว้นอื่นๆจะให้ปกครองเมืองไกลๆจากฟุไดที่ไม่ใช่พวกเดียวกันหรือเข้ามารวม

ตัวกับรัฐบาลบาคุฟุทีหลัง หรือแพ้สงครามจำยอมเข้าร่วม เจ้าเมืองไดเมียวเหล่านี้

จะต้องเข้ามาอยู่ในเอโดะ (คล้ายๆตัวประกัน ปีเว้นปี โดยมีคะโรคอยดูแลแคว้นให้ใน

ยามที่ตนต้องเข้ามาอยู่ในเอโดะ) มีสิทธิมีเสียงน้อยกว่าพวกฟุไดไดเมียวนั้นทำให้พวก

โทซะมะนั้นต้องการล้มบาคุฟุเพื่อสิทธิและเสียงที่เท่าเทียมกันและถวายคืนอำนาจแก่

องจักรพรรดิเป็นที่มาของ ปฏิรูปเมจิในช่วงท้ายของโชกุนตระกูลโตกุกาวะ ซึ่งเป็น

โชกุนตระกูลสุดท้ายของญี่ปุ่น โชกุนโดยเนื้อแท้ก็คือเหมือนนายกรัฐมนตรีควบผู้บัญชา

การทหารสูงสุดในตำแหน่งเดียวในยุคสมัยนั้นทำการปกครองใช้อำนาจของตนอย่าง

เต็มที่สืบทอดอำนาจผ่านเชื้อสายของตนไม่ทางตรงก็ต้องมีเชื่อสายสาขาย่อยมารับ

ช่วงกันต่อจนกว่าจะมีตระกูลใหม่มีอำนาจมากกว่าหรือการล้มล้างหายไปของโชกุน

ตระกูลนั้นโดยมีผู้อื่นที่มีอำนาจกว่าขึ้นแทน



   ตำแหน่งโชกุนนั้น จะสืบต่อกันทาสายเลือดครับ จนกระทั่งอำนาจในสายตระกูล

เริ่มตกลง ก็จะเข้าช่วงแย่งชิงอำนาจกันใหม่เพื่อขึ้นเป็นใหญ่


   โชกุนคือตำแหน่งผู้อำนาจสูงที่สุด เนื่องจากองค์พระจักรพรรดิ เป็นตำแหน่งเชิง

สัญลักษณ์เท่านั้นเองโชกุนคนสุดท้ายก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองคือ 

โตกุกาวะ โยชิโนบุ




บทความน่าอ่าน 2




บทความน่าอ่าน 


  ต่อมาจาก หน้าแรก >> บทความน่าอ่าน  เอาบทความน่าอ่านที่น่าสนใจมาลงไว้ให้

ท่านผู้อ่านที่ติดตามบล็อกของเรานั้น ที่สนใจทั้งเรื่องราวต่างๆ ประวัติศาสตร์ รวมไปถึง

ความรู้รอบตัว เรื่องราวน่ารู้ต่างๆมากมายเอาไว้ในบล็อกนี้ หาอ่านตามหมดหมู่กันได้ 

ส่วนหน้านี้ บทความน่าอ่านจะลงเรื่องน่าอ่านที่น่าสนใจเอาไว้ครับลองหาอ่านดู


1. นิสัยเสียของคนไทย (และมนุษย์ป้า) ที่ทำให้ไม่ก้าวหน้า


2. 20 วิธีบอกปัด (ปฏิเสธ) ผู้ชายมาจีบ


3. การละเล่นสมัยเด็กๆ ที่คุณคิดถึง มีอะไรบ้าง


4. 8 ข้อควรระวังลักเด็ก ค้ามนุษย์


5. เหตุผลใดที่ทำให้คุณกินเยอะ กินจุ อ้วน


6. 10 สิ่งที่แฟนสาวต้องการจากคนรัก


7. ทำอย่างไรดีเมื่อ อกหัก


8. มือใหม่หัดขับ ควรทำอย่างไร


9. คิดบวกในการทำงาน


10. คนรักแบบไหน ที่ทำให้ความรักล่ม


11. พ่อแม่รังแกฉันเป็นอย่างไร


12. ข้อคิดเปลี่ยนชีวิต คิดบวก


13. คำคม ข้อคิดเพื่อประสบความสำเร็จ


14. ทัศนคติความรัก ที่ทำให้คุณโสด


15. 10 แนวทางประหยัดเงิน เงินไม่พอใช้


16. 10 สัญญาณแฟนมีกิ๊ก


17. 10 สัญญาณเตือนพ่อแม่ทำเด็กติดเกม


18. 10 เทคนิคการอ่านหนังสือ


19. กลุ่มประเทศ BRICS คืออะไร


20. ขนาดพื้นที่ ประชากร ศักยภาพ กลุ่มประเทศ BRICS

>>> หน้าถัดไป


อาจมีหน้าถัดไปถ้าบทความในหน้านี้ บทความน่าอ่าน เกิน 20 หัวข้อในหน้าที่ 2 นี้




เพราะเหตุใดจีนจึงช่วยไทยตอนเวียดนามบุก (สงครามสั่งสอน)




จีนช่วยไทยตอนเวียดนามบุก (สงครามสั่งสอน)


   เพื่อนๆอาจจะงงมาตอนไหนก็ตอนที่กำลังทหารเวียดนามบุกเข้ากัมพูชาเพื่อล้มล้าง

ระบอบเขมรแดง กำลังทหารกัมพูชาส่วนใหญ่ได้อพยพมาอยู่ทางด้านตะวันตกและ

ตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศที่ติดกับชายแดนไทยเวียดนามเป็นฝ่ายรุกราน

 เป็นประเทศที่ต้องการจะยึดภาคอีสานของไทย และขยายลัทธิคอมมิวนิสต์มาสู่ไทย

แต่ก็แค่ส่วนนึงเพราะแท้จริงแล้วไทยนั้นได้อยู่คนละฝั่งกับเวียดนามให้การสนับสนุน

เขมรแดง ผู้เป็นศัตรูกับเวียดนามและเขมรเฮงสำรินหรือกัมพูชาในปัจจุบัน จึงเป็น

เหตุแห่งการเอาคืนและอีกสาเหตุนึงคือ ไทยให้สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพ และ

กองบินเข้าไปถล่มเวียดนาม ซึ่งโกรธแค้นไทยมาก แต่จริงๆไทยทำไปเพราะต้อง

การหยุดยั้งการแพร่มาของคอมมิวนิสต์เสียมากกว่าจึงต้องอยู่อีกฝั่งเวียดนามในการ

สนับสนุนของรัสเซียเคนได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นมหาอำนาจขั้วที่ 3 ของโลกใน

ขณะนั้นกกำลังทหารและอาวุธถือว่าเหนือกว่าไทยมา


           มีคำกล่าวที่ว่าจะบุกยึดกรุงเทพฯ ภายใน 2 ชั่วโมงบ้าง จะเข้าไปกินข้าวเที่ยง

ที่กรุงเทพฯบ้าง จนไทยยันเวียดนามไว้อย่างสุดความสามารถก็ไม่สามารถเข้ามาได้

และไทยได้ติดต่อจีนและจีนเห็นว่าต้องเข้ามาจัดการเวียดนาม กลายเป็นสงคราม

สั่งสอน แต่แค่ไทยไปบอกจีนจีนถึงต้องเอาทหารมาละลาย หลักหมื่นเชียวหรือ ...

ไม่แน่นอนครับมันมีสาเหตุแฝงและนัยยะมาด้วยเสมอ นี่แหละเป้าหมายของบทความ

เรื่องนี้เพื่อเอาไว้เป็นความรู้รอบตัวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ก็ได้ว่าทำไมจีนจึง

ยกทัพเข้ามาทำสงครามสั่งสอนกับเวียดนาม


เพราะเหตุใดจีนจึงช่วยไทยตอนเวียดนามบุก


1. ถ่วงอำนาจโซเวียต : เพราะตอนนั้นเวียดนามเป็นคอมสายโซเวียต ถ้าเวียดนาม

แกร่งพอที่จะยึดภาคอีสานไทยและสถาปนา สมาพันธรัฐอินโดจีนได้จีนจะโดนบีบทั้ง

ล่างและบน ตามแผนที่โลกเลยครับฉะนั้นเป็นข้ออ้างที่ดีของจีนเลยในการบอกว่ามา

ช่วยเพื่อนเพื่อจะกำราบเวียดนามซะ เพราะเห็นได้ชัดตอนจีนบุกตบเวียดนาม

โซเวียตก็นำกำลังรบเข้ามาประชิดชายแดนจีนแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมาก จีนไม่ต้อง

การให้คอมมิวนิสต์สายโซเวียตล้อมจีน



2. สกัดเวียดนาม : สมัยนั้นเวียดนามเพิ่งจะชนะสงครามกับสหรัฐฯมา คิดจะขยาย

อิทธิพลของตนเองไปทั่วอินโดจีนสร้างฐานอำนาจใหญ่ทำให้จีนไม่พอใจและเริ่ม

คิดว่าเวียดนามเป็นตัวอันตรายจึงได้หาวิธีป้องปราบจนได้ข้ออ้างในที่สุด



3. มิตรภาพไทยจีน : ไทยยังมาเปิดสัมพันธ์เป็นมิตรกับจีน ทำให้จีนจำเป็นจะต้อง

ช่วยไทยเพื่อรักษามิตรประเทศเอาไว้ ถ้าจีนช่วยมิตรของตัวเองไม่ได้จะเอาหน้าไป

ไว้ที่ไหนพันธมิตรของจีนอื่นๆจะคิดยังไงนี่แหละครับอีกเหตุผล ประเทศอื่นที่กำลัง

จับตาดูหรือเป็นพันธมิตรกับจีนจะหาว่าจีนมองแต่ผลประโยชน์ไม่จริงใจ



4. ประโยชน์ทั้ง 2ด้าน : ได้สร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองในการช่วยไทย และยัง

ได้สั่งสอนเวียดนามที่นับวันจะยิ่งแข็งแกร่งและกร่างมากขึ้น



5. เพราะมิตร :  จะช่วยเหลือมิตรต้องช่วยให้ทันการณ์ เป็นประโยคที่เติ้งเสี่ยวผิง

บอกลูกน้องยังไงซะจะเห็นพันธมิตรตัวเองย่อยยับไปต่อหน้าต่อตานั่นมิได้คนจีน

ในไทยก็ไม่น้อยเรื่องนี้ความเป็นมิตรกันก็มีส่วนอยู่มากนับว่าเป็นจังหวะเหมาะจริงๆ

เรื่องที่ทุกอย่างเข้ามาอยู่ในการต่อรองของไทยและสมประโยชน์ของจีนทำให้ไทย

รอดพ้นจากการศูนย์เสียมาได้ (ดีกว่าต้องทำสงครามกับกองทัพที่ใหญ่กว่า) ใน

อดีตไทยกับเวียดนามหรือญวณก็แย่งกันปกครองเขมรลาวกันมา มีทั้งเรื่อง

เสียบันทายมาศ หรือเรื่องสงครามนับ 10 ปีของสงครามอานามสยามยุทธซึ่งก็

เกิดจากไทยและเวียดนามทั้งสิ้น นับว่าไทยสามารถใช้การทูตและข้อได้เปรียบ

ต่างๆเอามาเป็นประโยชน์ได้เป็นอย่างดี




10 เทคนิคการอ่านหนังสือ




เทคนิคการอ่านหนังสือ

 การอ่านหนังสือ เทคนิคในการอ่านหนังสือในแบบของผม ที่ทำให้จำหรือจดจ่อต่อ

เรื่องนั้นได้ไม่จำเป็นต้องเข้าห้องสมุดถ้ามีหนังสือ เพราะผมมักทำผิด

มารยาทและระเบียบในการใช้ห้องสมุด* อยู่เสมอ ฮ่าๆๆ คือผมเน้นสายสบาย

เน้นแบบว่าเอาสบายกายไว้ก่อนจะได้ซึมซับตัวหนังสือที่อ่านได้มากกว่าเดิม



1. อ่านยาว 1 รอบ แล้วตามมาเก็บประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ (ตอนอ่านยาวต้องเรียบ

เรียงประเด็นเอาไว้ด้วยในตัวนะว่าจะหลับมาอ่านอันนี้) 



2. ไม่เข้าใจต้องอ่านให้เข้าใจก่อนจะไปตรงอื่นไม่งั้นถ้าเนื้อหาเกี่ยวข้องกันจะงงยาว

 (เท่ากับอ่านไม่รู้เรื่อง)



3. ถ้าง่วงอย่าอ่าน อ่านให้ตายก็ไม่เข้าใจเพราะอารมณ์อยากจะนอน



4. อ่านจับใจความเน้นเนื้อหาที่ตรงประเด็น (ยิ่งได้แนวว่าต้องอ่านตรงไหนบ้าง ยิ่งสบาย)


5. เวลาว่างก็ฝึกอ่านอะไรที่สนใจไปเรื่อยเปื่อย จะได้ฝึกทักษะและวิธีการอ่านในแบบ

ของตนได้



6. มีสมาธิและสติอยู่กับสิ่งที่อ่าน อ่านไปเรื่อยๆลอยๆ อ่านให้ตาย อ่านจนเบื่อ อ่าน

ทั้งวันแต่ไม่จดจ่อไม่มีสมาธิไม่มีสติกับเรื่องนั้นๆ ก็จบ



7. พยายามประติดประต่อเรื่องราวให้เข้ากัน อย่างผมอ่านเรื่อง อู๋ ซานกุ้ย เปิดประตู

ให้แมนจู ผมก็ต้องจับประเด็นของหลี่ จื้อเฉิง และราชวงศ์หมิงเอาไว้ด้วยเพื่อจะได้

ศึกษาเพิ่มเติม เอามาประกอบกัน การอ่านจะได้เข้าใจเนื้อหาโดยรวมมากยิ่งขึ้น

(ถ้าให้ดีอ่านบทวิเคราะห์แล้วเอามาคิดด้วยตัวเองอีกทีก็ย่อมได้)



8. งดทุกอย่าง เสียงเพลง ทีวี คอมพิวเตอร์(เปิดไว้ได้ แต่ไม่เปิดเฟสบุ๊คเพราะมันจะ

ทำลายสมาธิเรา 55+)



9. สภาพพร้อม เช่น ไม่หิว ไม่เหม็น(กลิ่นตัว) ไม่ง่วง ไม่ร้อน ไม่ปวดหัว คือถ้าร่างกาย

สภาพแวดล้อมเราพร้อม ผมจะสามารถอ่านได้ฉิวเลยทีเดียว



10. อย่าไปกดดัน บอกกันตรงๆเลยว่าเทคนิคการอ่านอยู่ที่แต่ละคนจะจับจุดได้อย่างไร

เท่านั้นเพราะมันไม่ตายตัวและที่สำคัญ อย่ากดดันตัวเองว่าต้องอ่านเท่านั้นเท่านี้ต้อง

จำอย่างนั้นอย่างนี้แรงผลักดันอะมีได้แต่ไม่ใข่แรงกดดัน ยิ่งมีเยอะความผิดพลาดก็เยอะ

ตาม หลง จำสลับจำผิด ถ้าแบบนั้นไม่สู้เราอ่านเรื่อยทำความเข้าใจมันให้ซึมเข้าไป

ย้ำคิดย้ำทำจนชำนาญขึ้นใจไม่ดีกว่าหรือ


** ที่สำคัญอย่างมากต่อ สมาธิ สติ และสภาพแวดล้อมที่ดี นี่คือเคล็ดลับการอ่าน

เทคนิคในการอ่านหนังสือในแบบของผมนะครับ เพื่อนๆคนไหนต้องการจะนำ

ไปใช้หรือเอาไปเป็นแนวทางก็ยินดีครับ





การเลิกทาสไพร่ในรัชกาลที่ 5 ดียังไง




การเลิกทาสไพร่ในรัชกาลที่ 5

  การเลิกทาสในสมัยของรัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ไทย* ซึ่งมีเหตุการทางหน้า

ประวัติศาสตร์ไทย* มากมายในสมัยนี้ อย่างเช่น การเสียดินแดน* การเลิกทาส

การพัฒนาประเทศให้ก้าวทันตะวันตกการสเด็จประพาสยุโรปของเจ้านายราชวงศ์

จักรี การปรับปรุงระบอบการปกครอง รวมไปถึงการตั้งกองทัพแบบตะวันตกครั้งแรก

การกระจายอำนาจจากขุนนางและหัวเมืองเพื่อป้องกันเหตุ แต่สิ่งสำคัญที่เป็นสิ่งที่

ได้รับการยกย่องจารึกไว้เรื่องนึงไม่แพ้เรื่องอื่นคือการเลิกทาส วันนี้เราเลยจะมาดู

กันว่าการเลิกทาสและไพร่นั้นมีผลดีอย่างไรกับสังคมไทยในสมัยนั้นบ้าง


ผลดีของการเลิกทาสและไพร่


1. เกิดความเป็นธรรม ในสังคม สถานะทางสังคมแม้ยังดูเหมือนคนละชั้นแต่โดย

สถานะแล้วคุณค่าความเป็นคนนั้นเท่ากัน พลเมืองทุกคนมีฐานะเท่ากันหมด ไม่ต้อง

เป็นไพร่สังกัดนาย



2. สามารถเกณฑ์ชายเข้ารับราชการเป็นทหารหลวงได้มากขึ้นเพราะก่อนนี้ทาสไพร่

นั้นอยู่ในสังกัดมูลนายเสียมากทำให้  ทำให้กำลังคนจำนวนมากไปอยู่ในสังกัดมูลนาย

ทำให้ส่วนกลางเหลือให้เกณฑ์มาเป็นทหารประจำการมีน้อยทหารของประเทศต้อง

พึ่งอิทธิพลพวกนี้เยอะพอเลิกทาส สามารถจัดการกองทหารแบบตะวันตกไว้ป้องกัน

ประเทศได้ ระบบไพร่สังกัดมูลนาย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการตั้งกองทัพสมัยใหม่ จึง

เป็นผลดีของการเลิกทาส



3. ลดอำนาจหัวเมืองและบรรดาผู้มีอิทธิพล มากขึ้นเพราะมีไพร่ทาสในครอบครอง

น้อยลงจะทำการอะไรก็ลำบากมากขึ้น อันจะส่งผลต่อความวุ่นวายในบ้านเมืองได้

เพื่อเป็นการควบคุมพระราชอาณาจักรได้เป็นปกติที่สุด



4. เงินรายได้ของประเทศในระบบศักดินามักกระจายอยู่ในระบบขุนนางและมูลนาย

ซะส่วนใหญ่ทำให้รายได้ตกไปอยู่ในท้องพระคลังน้อยมาก เมื่อจัดการเลิกทาส

ปฏิรูปการปกครองแล้วจัดระเบียบใหม่ทำให้ประเทศสามารถเก็บรายได้เข้ามาใน

ท้องพระคลังนำมาพัฒนาประเทศได้มากขึ้นหลายเท่าตัว เป็นการรวบรวมเงินรายได้

ของแผ่นดินจากที่ต้องไปอยู่ที่ขุนนางให้กลับมาอยู่ในท้องพระคลังเพราะมีเหตุที่ต้อง

ใช้เงินถุงแดง* เอามาประคับประคองในตอนที่ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้ฝรั่งเศส

เงินในท้องพระคลังแทบไม่เหลือเลย



5. เพื่อเป็นการป้องกันภัยคุกคามของชาติตะวันตก ที่จะมองว่าประเทศเราล้าหลัง

ยังมีระบบนี้อยู่เพราะมันแสดงถึงความเท่าเทียมกันในบ้านเมืองไม่มี จึงต้องปรับ

เปลี่ยนสภาพสังคมเสียใหม่ให้ทันเขา ไม่อยากถูกชาติอื่นดูถูกว่าเรายังเป็นบ้านป่า

เมืองเถื่อน ที่เขาจะได้มายึดเอาไปง่ายๆทุกวันนี้เราอยู่กันอย่างมี อิสระสิทธิเสรีภาพ

ไม่ต้องเป็นทาส ไพร่แก่ใครมีแผ่นดินอยู่มีภาษาใช้มีทุกอย่างที่คนทุกคนจะสามารถ

ไขว่คว้าไม่ถูกจำกัดสิ่งใด จงตอบแทนประเทศชาติและทำตัวให้เป็นคนดี






10 สัญญาณเตือนพ่อแม่ทำเด็กติดเกม




สัญญาณเตือนพ่อแม่ทำเด็กติดเกม

   บุตรหลานของท่านจะกลายเป็นเด็กติดเกมได้เพราะสาเหตุอะไรบ้างจะกลายเป็น

เด็กที่มี พฤติกรรมสุดเกรียนของเด็กร้านเกม หรือสุดเกรียนติดเกมที่บ้านมันมีเหตุผล

มาจากอะไรกันบ้างเราลองมาไล่เรียงกันดีกว่าว่า สัญญาณเตือนที่พ่อแม่นั้นทำให้

ลูกกลายเป็นเด็กติดเกมนั้น มีอะไรบ้าง


พ่อแม่ทำเด็กติดเกม


1. ไม่มีเวลาให้ : เด็กเลยไปหาสิ่งเร้าที่ยั่วยวนกว่าอย่างเกมหรือไปทำกิจกรรมที่

ได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆทดแทนที่ตัวเองต้องอยู่คนเดียว



2. ปล่อย : คือปล่อยอยากเล่นก็ไปไม่สนใจ จะทำอะไรก็ทำ ให้อิสระเต็มที่มากเกินไป

เด็กอาจหลงทางผิดไปติดยาติดเกม ต้องระวัง



3. ตามใจ : ลูกขอร้องอยากเล่นเกมอยากเล่นก็ให้เล่นกลัวลูกไม่พอใจกลัวลูกงอแง

หน้าบูดใส่เลยตามใจอยากให้เล่น จนติดเป็นนิสัยกลายเป็นเด็กติดเกม



4. กดดันมากเกินไป : กดดันเด็กทั้งเรื่องเรียนผลการเรียนเรื่องทางเดินชีวิต ทำให้

เด็กนั้นหาทางออกที่ตัวเองชอบ ง่ายๆเช่นเล่นเกม ฟังเพลง อยู่กับเพื่อนแทน นั่น

กลายเป็นสิ่งที่เขาจะผ่อนคลายยิ่งกดดันมากเขาก็ยิ่งต้องการผ่อนคลายมากทำให้

ติดเกมโดยไม่รู้ตัว



5. ปัญหาครอบครัว : พ่อแม่ทะเลาะกันลูกอยู่ตรงกลาง หนีปัญหาไม่ชอบที่พ่อแม่

ทะเลาะกันหันไปอยู่กับสิ่งสนุกสนาน


6. ไม่เข้มงวดเรื่องเกม : อยากเล่นก็ปล่อยไม่สนใจไม่ทวงถาม ไม่จำกัดเวลา

ไม่ห้ามปรามเวลาเล่นมากเกินไป



7. ขาดความอบอุ่น : พ่อแม่ไม่สามารถตอบสนองความอบอุ่นความเป็นครอบครัวให้

แก่เด็ก ปัญหาเดิมๆไม่ติดยาก็ติดเกม หรือติดเพื่อนไปเลย



8. ไม่สนใจ : ไม่สนใจใยดีจะเป็นจะตายปล่อยประละเลยออกไปตามสบาย


9. กิจกรรมในครอบครัว : ไม่มีกิจกรรมระหว่างพ่อแม่ลูก ในครอบครัวทำให้มีช่อง

ว่างระหว่างกันมากเกินไป



10. พ่อแม่ก็ติด : ชัดเลย พ่อแม่วัยรุ่นหรือที่ชอบติดเกมในมือถือ พ่อแม่ยังติดจะ

ห้ามลูกอยู่ได้ยังไงกัน


เกมไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายอะไร หากเราสามารถแบ่งเวลากับมันได้ เกมสามารถเสริม

พัฒนาการด้านต่างๆได้ อีกทั้งยังสามารถหาเงินจากเกม หารายได้จากเกมได้อีก

ด้วยเพียงแต่เราเล่นเกมอย่าให้เกมเล่นเรา เล่นให้เป็นเล่นให้ถูกอย่าเล่นให้หลงเล่น

ให้ติดเท่านั้นน่าจะเพียงพอแล้ว รู้จักเวลาและหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง





10 สัญญาณแฟนมีกิ๊ก




สัญญาณแฟนมีกิ๊ก

   เรื่องความรักมักมากับความเสียใจ กิ๊ก ชู้ เกย์ (แหงะ) อะมากมาย วันนี้เราจะมา

พูดคุยกันว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่เตือนคุณว่าแฟนคุณอาจจะ ย้ำว่าอาจจะกำลัง

นอกใจหรือนอกกายคุณอยู่ เขากำลังแอบมีกิ๊ก หรือมีคนอื่นแอบซ่อนไว้รึเปล่ามา

ดูกันว่ามีอะไรบ้าง  10 สัญญาณแฟนมีกิ๊ก



สัญญาณแฟนมีกิ๊ก


1. ไม่ต้องการ : อย่าหมายความเป็นอย่างอื่นในที่นี้หมายถึง

10 สิ่งที่แฟนสาวต้องการจากคนรัก  ลองอ่านดูนะครับสำหรับคุณผู้ชาย คือสิ่งที่

เธอสมควรจะต้องการจากคุณแต่คุณกลับไม่ได้รับการถามไถ่ในเรื่องนั้นๆจากเธอ แลดู

เหมือนมีคนให้ในสิ่งที่ต้องการแล้วเลยไม่ต้องมาขอจากคุณ อันนี้ต้องลองสังเหตุดูครับ



2. รับโทรศัพท์ : ถ้ามีอาการเดินไปรับโทรศัพท์ไกลๆ หรือเวลามีข้อความ มีแชทมา

แล้วเดินหนีจากไปท่าทางแบบไม่อยากให้เรารู้ นั่นแหละน่าสงสัยแล้ว



3. โกหก : โกหกบ่อยกว่าปกติแล้วเราจับได้ ทำอะไรที่ไหนอย่างไรแล้วโกหกเราอันนี้

ต้องเริ่มสังเกตุและจับผิด การโกหกนี่ถึงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง    กิ๊ก  แต่ก็สงผลอาจ

ทำให้ความรักล่มเลยก็เป็นได้



4. ธุระเยอะกว่าปกติ : ไปกับเพื่อน ไปกับแม่ ไปกับญาติ ไปกับที่ทำงาน อะไรแบบนี้

หรืองานยุ่งแบบแปลกๆ



5. เวลา : มีเวลาให้เราน้อยลงไปรึเปล่า หรืออยู่ดีๆเวลาที่เคยใช้ร่วมกันมันหายไปแบบ

น่าสงสัย ลองเช็คดู



6. หวงของ : โดยเฉพาะมือถือ เครื่องมือสื่อสาร ของในกระเป๋าอะไรแบบนี้ของใช้

ส่วนตัวที่มาใหม่ๆแบบที่เราไม่เคยซื้อให้หรือเธอไม่เคยใช้มาก่อน อ่าอันนี้น่าคิด



7. ถามนิดหน่อยหาว่าหึง : บางทีถามนิดหน่อย เช็คนิดหน่อยก็โดนด่า โดนบ่นว่า

ขี้หึงซะแล้ว เอ๊ะยังไงต้องสืบดู บางครั้งนะ ข้อดีของแฟนขี้หึงก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน



8. ใจลอยคอยรัก : เธออาจจะนึกอะไรเล่นๆหรือกำลังคิดถึงใครอยู่ก็ได้แล้วทีนี้แหละ

จะทำยังไง บางครั้งอาจไม่ใช่กิ๊กแต่อาจจะคิดเยอะต้องดูให้ดี



9. โลกส่วนตัวสูง : อยู่ดีๆก็โลกส่วนตัวสูงขึ้นมาซะงั้น ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


10. ลับๆล่อๆ : จะออกไปไหนที่เราไปกันบ่อยๆก็ระวัง หรือจะไปเที่ยวไหนก็ต้อง

ระแวงระวังเกินไปกลัวใครเห็นหรือเวลาเราไม่อยู่ก็แอบไปข้างนอก พอเรากลับมา

ถามอยู่ไหนบอกนอนแล้วทั้งๆที่ฉันอยู่ในห้องนอนอะไรประมาณนี้


    ลองคิดและสังเหตุกันดูนะครับ หึงหวงแต่พอควรแต่ก็อย่าทำให้อีกฝ่ายอึดอัดและ

ก็อย่าเผลอใจวางใจอะไรมากเดี๋ยวจะต้องมานั่งคิดว่า ทำอย่างไรดีเมื่ออกหักกันอีก

ถ้าใจเขาไม่อยู่กับเราเราก็ไม่ต้องไปรั้งวิงวอนอะไรไว้ได้ตัวไม่ได้ใจมันยากนะ





10 แนวทางประหยัดเงิน เงินไม่พอใช้





แนวทางประหยัดเงิน

  อยากประหยัดเงินใช่มั้ย แนวทางการประหยัดเงินหรือใช้เงินให้น้อยกว่าปกติ

สามารถออมเงินของเรา มีวิธีการประหยัดเงินในกระเป๋าได้อย่างไรบ้างมากมาย

หลายแบบที่จะสามารถช่วยให้เราประหยัดได้ ลองมาดูกันครับ

10 แนวทางประหยัดเงิน เงินไม่พอใช้


10 แนวทางประหยัดเงิน เงินไม่พอใช้


1. กำหนดรายจ่ายแต่ละวัน : กำหนดว่าวันๆนึงเราจะต้องกินอะไรจ่ายเงินกับอะไรบ้าง

ให้ชัดเจนไว้ก่อน ส่วนที่นอกเหนือฉุกเฉินจากนั้นว่ากันอีกที เราจะได้จำกัดขอบเขตของ

การใช้เงินของตัวเองลงได้



2. หาอาชีพเสริมจากสิ่งรอบตัว : เช่นเล่นเกม ก็หาเงินจากเกมพวกขายเอ็มขาย

ของในเกมก็ว่าไป มีคอมพ์ก็รับพิมพ์งานเล็กน้อย สร้างเพจเฟสบุ๊คเพื่อหาสปอนเซอร์

ขำขำทำเกี่ยวกับตัวแทนขายของทางเน็ต รับจ้างเขียนบทความหรือถ้าเก่งงานฝีมือ

เวลาว่างก็ทำขาย ทำใช้เองประหยัดไม่ต้องซื้อแถมได้เงินเข้ามามีเงินพอใช้



3. ไม่มีไม่ฉุกเฉินไม่กู้ไม่ยืม : ถ้าไม่มีเงินแต่ไม่มีความจำเป้นต้องใช้ก็ไม่ต้องกู้หนี้

ยืมสินใครเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งชดใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง อดทนเอาประหยัดเข้าไว้



4. การพนัน : เช่นวงไพ่ หวย หุ้น อะไรพวกนี้ ลด ละ เลิก ได้ก็จะยิ่งดีนะครับมัน

เสียเงินไปเปล่าๆเลย การพนันไม่ได้ทำให้ใครรวยนอกจากเจ้ามือ



5. ติดหรู ฟุ่มเฟือย : นานๆทีคงได้แต่บ่อยๆไม่ดี เช่นของหรืออาหารการกิน ถ้าหรู

เกินไรงี้ไม่ดูความสามารถในหารจ่ายของตัวเองระวังสิ้นเดือนจะอดเอานะครับ



6. ยานพาหนะ : เรียนรู้ขั้นตอนประหยัดน้ำมันหรือถ้าไปไหนใกล้ๆขี่จักรยาน หรือเดิน

เอาก็ได้เป็นการออกกำลังกายไปในตัว ใช้ขนส่งสาธารณะบ้างอะไรแบบนี้เพื่อช่วย

ประหยัดพลังงานน้ำมันเบาเงินในกระเป๋าเราพร้อมลดโลกร้อนได้อีกด้วย



7. ของอบายมุข : เช่นบุหรี่ เหล้า ยาเสพติด บุหรี่ถ้าวันนึงสูบ 1 ซองก็ลดเหลือ ครึ่งนึง

หรือไม่สูบได้นยิ่งดี ส่วนของอย่างอื่นถ้าลดได้หรือไม่แตะเลยก็จะยิ่งดีมากยาเสพติดอย่า

ไปยุ่งเลยครับ บั่นทอนร่างกาย ตายผ่อนส่งทั้งนั้น



8. พอดีไม่เยอะ : เช่นการกินอาการ ซื้ออาหารเข้ามากิน หุงข้าวพอดีไม่ต้องเหลือ

เยอะ กินข้าวถ้าไม่หมดไม่ต้องเสียดายนั่นเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้อ้วน ไม่หมดเก็บ

แช่ไว้ได้ไม่ต้องฝืน ทำกับข้าวแต่พอดีไม่เหลือทิ้ง รู้จักคุณค่าของอาหาร



9. หยอดกระปุก : หัดหยอกกระปุก ปลุกจิตสำนักการออมบ้างไรบ้าง เริ่มจากเศษ

เหรียญก็ได้ครับ



10. ลดการใช้ : เช่นน้ำหก แกงหกจากการใช้ กระดาษชำระก็เปลี่ยนมาใช้ผ้าที่นำ

ไปซักกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือน้ำก็เปิดพเฉพาะตอนที่ใช้ ไฟไม่ใช้ก็ปิดไม่ต้องเปิดทิ้งไว้

โทรทัศน์ พัดลม แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเสียบทิ้งไว้ให้

เปลืองไฟ อะไรประมาณนี้ครับ


หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านครับ





8 มหาราชกษัตริย์ไทย




8 มหาราชกษัตริย์ไทย

  มหาราชกษัตริย์ไทย ราชวงศ์ไทย ประวัติศาสตร์ไทยพระกษัตริย์ไทย ตั้งแต่

สุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี รวมไปถึง กรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบันมีพระองค์ใดกันบ้าง

หลังจากที่เราเคนพูดถึง มหาราชกษัตริย์พม่า ซึ่งพูดเกี่ยวกับ 3 กษัตริย์พม่าผู้ยิ่งใหญ่

ซึ่งถูกนับเป็นมหาราชมาบทความนี้เราจะมาเรียงพระมหาราชของไทยเราบ้างว่าทั้ง 8

พระองค์คือพระองค์ใดกันบ้าง


มหาราชกษัตริย์ไทย


1. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  : พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในราชวงศ์พระร่วง

แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย เสวยราชย์ประมาณ พ.ศ. 1822 ถึงประมาณ พ.ศ. 1841

ทรงสู้รบปกป้องขยายดินแดนทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง

และรวมไปถึงทรงประดิษฐ์อักษรไทย ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ

วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมากว่าเจ็ดร้อยปี ทรงนำพุทธศาสนาเข้ามา

ในอาณาจักรอีกด้วย


2. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  : มีพระนามเดิมว่า พระองค์ดำ กอบกู้เอกราช

ให้แก่อยุธยาหลังจากที่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ทำสงครามยุทธหัตถีสร้างชื่อ

ระบือไกลสู้รบปกป้องขยายดินแดนทรงรวบรวมอาณาจักรให้กว้างไกลสร้างความมั่นคง

ให้แก่อาณาจักร เป็นคนที่พม่าเกรงกลัวเป็นอย่างมากจนหลังจากพระองค์ทรงชนช้าง

กระทำยุทธหัตถีเอาชนะพระมหาอุปราชาได้ พม่าก็ไม่กล้ามาบุกไทยอีกเลยเป็นเวลา

นาน


3. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช  : พระมหากษัตริย์ของอยุธยา ทรงพระปรีชา

สามารถอย่างยิ่ง ทรงสร้างความรุ่งเรือง สามารถพิชิตเชียงใหม่และหลายๆหัวเมือง

ของพม่าทางด้านการค้าขายเศรษฐกิจ รวมถึงการคบค้าสมาคมกับต่างขาติทรงพระ

ปรีชาในด้านกวี และทรงส่งเสริมการกวี  ซึ่งถือเป็นยุคทองแห่งวรรณคดีไทยมีการ

เจริญสัมพันธไมตรีกับชาวต่างชาติ อย่างฝรั่งเศส และพระองค์ยังได้นำวิทยาการสมัย

ใหม่ในยุโรปเข้ามาใหสยามมากมายเช่น กล้องดูดาว และยุทโธปกรณ์บางประการ

รวมทั้งยังมีการรับเทคโนโลยีการสร้างน้ำพุ จากชาวยุโรป และวางระบบท่อประปา

ภายในพระราชวังอีกด้วย


4. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  : เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในสมัย

อาณาจักรธนบุรี ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2

รวบรวมแผ่นดินจาก ชุมนุมหรือกลุ่มต่างๆที่แตกออกมาจากอาณาจักรเดิมให้กลับมา

เป็นปึกแผ่นมั่นคง


5. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  : ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์

จักรี ทรงทำศึกกับพม่าหลายครั้งเพื่อปกป้องแผ่นดินทรงวางรากฐานการปกครองและ

การป้องกันอาณาจักรเอาไว้อย่างมั่นคง ทรงสร้างกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีที่เข้มแข็ง

ได้แก่ ป้อมปราการ, คลอง ถนนและสะพานต่างๆ มากมาย มีแม่น้ำเป็นคูเมืองธรรมชาติ

มีชัยภูมิเหมาะสม และสามารถรับศึกได้เป็นอย่างดี ศึกกับพม่าที่เป็นที่รู้จักดีในสมัยของ

พระองค์คือ สงคราม 9 ทัพ


6. สมเด็จพระปิยะมหาราช  : รัชกาลที่ 5 ทรงบริการพัฒนาประเทศไปในหลายๆ

ด้านทั้งเรื่องการปกครอง การรถไฟการไปรษณีย์ การไฟฟ้าและการประปาขึ้นเป็นครั้ง

แรก การเลิกทาส รวมทั้งการปกป้องประเทศ ยอมเสียดินแดนส่วนน้อย เพื่อรักษา

เอกราชของประเทศไว้ซึ่งอยู่ในช่วงยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ทรงการปฏิรูป

การปกครองให้ทัดเทียมเพื่อจะได้ไม่ล้าหลังชาติตะวันตก เป็นที่รักของประชาชน ผู้คน

มักออกพระนามว่า "ปิยมหาราช" แปลว่า มหาราชผู้ทรงเป็นที่รัก และว่า

"พระพุทธเจ้าหลวง"


7. สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า  : พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการ

เมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญ

ที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ทรงสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือ

วชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบันขึ้น องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง

สหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า

เจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะที่

ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี  ทรงตั้งกรมรถไฟหลวง ทรงตั้งกรมมหรสพ เพื่อ

ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยทรงส่งทหารเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 เข้าร่วมกับ

ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรและชนะสงครามทำให้ประเทศไทยมีอำนาจในการเจรจา

เรื่องราวระหว่างประเทศได้มากขึ้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งวชิรพยาบาลและ

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทรงจัดตั้งกองเสือป่า  รวมถึงเมืองจำลอง "ดุสิตธานี" ซึ่ง

ปกครองในประบอบประชาธิปไตยไว้อีกด้วย


8. สมเด็จพระภัทรมหาราช  : พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ทรงมีพระปรีชาสามารถ

รอบด้าน ทรงแก้ปัญหาทุกข์ยากของราษฎร ทรงปัดเป่าทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชนใน

เขตทุรกันดาร  ทรงตั้งโครงการเพื่อพัฒนาด้านต่างๆ มากมาย ฝนเทียม ด้านการเกษตร

การชลประทาน การสาธารณสุข และอื่นๆอีกมากมาย  และมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือ

ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลกพระองค์นึง




ทัศนคติความรัก ที่ทำให้คุณโสด




ทัศนคติความรัก ที่ทำให้คุณโสด

   เรื่องความรัก คนโสดคุยกันไปบ้างแล้วทั้งเรื่อง มีคู่รักแบบไหนที่ทำให้รักล่มหรือ

อกหักต้องทำอย่างไร วันนี้เรามาคุยกันในเรื่องทัศนคติของตัวเองกันบ้างดีกว่าว่า

ความคิดหรือทัศนคติแบบไหนกันที่ทำให้คุณยังเป็นโสดอยู่ หรือทำให้คุณรักๆเลิกๆ

เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก รักล่มไม่เป็นเท่า ลองดูกันว่ามีข้อไหนตรงกับคุณบ้าง


ทัศนคติความรัก ที่ทำให้คุณโสด


1. มองแค่หน้าตา : ชัดนะคือสวยชอบจีบ จัด แต่ไม่ได้มองที่นิสัยส่วนตัวมากนัก

หรือการที่จะมาตรงเคมีใช้เวลากิจกรรมร่วมกันทำให้เเมื่อคบไปหรือเริ่มเข้าถึงสนิท

กันมากขึ้นอาจทำให้ ทั้ง 2 ฝั่งไม่ชอบในนิสัยของกันและกันจนพังในที่สุด


2. ตั้งสเป็คสูงเว่อร์ : คือไอที่โสดเพราะไม่จีบใครไม่เปิดโอกาศใคร อาจจะเพราะ

ตั้งสเป็คไว้สูงต้อง หล่อ รวย สวย เก๋ อินเตอร์ หน้าขาว คมเข้ม เกาหลี หรือหล่อล่ำ

กล้ามปู ไอแบบนี้ก็ยากเหมือนกันนะ


3. กลัวความรักจะล้มเหลว : ความกลัวจนไม่กล้าที่จะรักใครไม่กล้าที่จะผูกพันธ์

ทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าเราไม่ยอมให้ใจแก่เขาก็เป็นได้


4. ไม่อยากผูกมัด : ไม่ต้องอธิบายอะไรมากข้อนี้


5. ของตาย : ถ้าเราคิดว่าเขาเป็นของตายซักวันเขาก็จะจากเราไป อันนี้ใจร้ายมาก

พอๆกับเผื่อเลือกเลยนะครับ


6. ขี้หึง : ขี้หึงมากเกินไปจนน่ารำคาญ ถึงจะบอกว่า มีข้อดีของแฟนขี้หึง ก็เถอะ

แต่ถ้ามากไปจนดูโรคจิตหรือทำให้อีกฝั่งรู้สึกอึดอัดใจมันก็ไม่สมควรอย่างยิ่งเลยนะ


7. เผื่อเลือก : คบเผื่อเลือกเพื่อรอคนที่ดีกว่าหรือคบไว้แก้เหงา อาจจะคคบไว้ถ้า

เกิดเจอคนที่ดีกว่าสวยกว่าเหมาะกว่าก็จะจากไปทันที คนแบบนี้ใจร้ายมากๆเลย

สมควรอยู่เป็นโสด และเมื่อมีเหตุการณ์ให้จับได้ นั่นแหละได้โสดจริงๆ


8. คิดเล็กคิดน้อย : อันนี้ก็จะกลายเป็นระแวง หรือขี้หึง จุกจิกเรื่องมากเยอะ

อะไรไปได้


9. ให้ความสำคัญกับมันน้อยไป : มันคือความรัก ความรักคือตัวถ่วงชีวิตผมครับ

ความรักไม่ได้สำคัญจะทิ้งขว้างยังไงก็ได้ประมาณนี้


10. ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว : อันนี้มีเยอะมากที่คู่รักอึดอัดจากการที่ อีกฝ่ายต้องการ

รู้การกระทำของอีกฝ่ายทุกอย่าง ต้องเข้ามามีส่วนร่วมแทบทุกเรื่องจนคู่ของเราไม่

เป็นตัวของตัวเองเลยท่านสามารถปรับเรื่องใดได้บ้าก็ลองปรับนะครับ หรือมีข้อไหน

ที่ตรงกันก็ลองทบทวนไคร่ครวญดูเอาครับ



คำคม ข้อคิดเพื่อประสบความสำเร็จ




คำคม ข้อคิดเพื่อประสบความสำเร็จ

 ข้อคิด เพื่อเอาไว้ใช้ เอาไว้เตือนใจให้เราประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่หวังในหน้าที่การ

งานคิดบวกในการทำงานและชีวิตลองเอาข้อคิดไปปรับใช้และคิดตามอันไหนเหมาะ

กับเราก็ใช้มันอันไหนเห็นว่ายังไม่ใช่ก็ไม่ต้องสนใจครับ อันนี้เป็นเพียงข้อคิดที่ได้รับสืบๆ

กันมาตลอดว่าคิดยังไงถึงจะประสบความสำเร็จ


ข้อคิดเพื่อประสบความสำเร็จ


1. คนดี ต้องทำในสิ่งที่ควร


2. ชีวิตต้องคิดบวก


3. ความรู้รอบตัวถึงไม่ได้ใช้แต่รู้ไว้ก็ไม่ตายหรอก


4. จงมีความฝันที่ยิ่งใหญ่


5. ตั้งเป้าหมายและไปให้ถึง


6. ท้อได้แต่อย่าถอย


7. ถ้ายอมแพ้จะไม่มีวันชนะ


8. คนจริงไม่หูเบา


9. ไม่มีคำว่าสายเกินไป สำหรับสิ่งที่ฝัน


10. ความผิดพลาดคือโอกาสในการเริ่มต้นใหม่อย่างฉลาดขึ้น


11. ลงมือทำดีกว่า มานั่งพูด


12. ทุกความฝั่นของเราสามารถ เป็นจริงได้ เพียงแค่เรากล้าที่จะไล่ตาม


13. โอกาศมิใช่เกิดจากการรอคอย หากแต่เกิดจากการสร้างมันขึ้นมา


14. คำประจบสอพลอ ใช้ได้กับแค่คนหลงตัวเอง


15. ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ย่อมต้องเคยผิดพลาดกันทั้งนั้น


16. วาจามิสู้การกระทำ


17. ถ้าคุณใช้เวลาคิดสิ่งใดมากเกินไป คุณก็ไม่มีวันทำมันสำเร็จ


18. คิดไม่ทำกับ ทำไม่คิด


19. อย่ารังเกียจความพ่ายแพ้ เพราะมันคือกุญแจสู่ชัยชนะ


20. วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะพยากรณ์อนาคตคือสร้างมันขึ้นมา


21. ความมีวินัยคือสะพานเชื่อมระหว่างเป้าหมายและความสำเร็จ


22. รับฟังผู้อื่นบ้างแต่ก็ต้องฟังเสียงตัวเองด้วย


23. ชีวิตไม่ดิ้นรนก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว


24. ถ้าไม่กล้า ก็ไม่พัฒนา


25. ล้มเหลวหมื่นครั้งเริ่มใหม่หมื่นครั้ง ล้มเหลวและเริ่มใหม่ซํกวันมันต้องสำเร็จ


26. เรียนรู้และลงมือทำ


27. ความพยายามจนสุดทาง แม้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่นั้นคือประสบการณ์


28. คนเราผิดบ้างก็ได้ไม่ตายหรอก


29. อย่าหาข้อดีให้ตัวเอง โดยการเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ด้อยกว่าเรา เพราะข้อด้อย

ของคนอื่นก็ไม่ใช่ข้อดีของเราเช่นกัน


30. โอกาสสุดท้าย .... มักจะซ่อนอยู่ใต้คำว่า "เดี๋ยว" !!





ข้อคิดเปลี่ยนชีวิต คิดบวก




ข้อคิดเปลี่ยนชีวิต คิดบวก

1. จน : ขยันเพื่อรวย


2. โง่ : หมั่นเพียรเพื่อฉลาด


3. เจ้านายด่า : ทำงานให้ดีไม่ให้โดนด่าอีก คิดบวกในการทำงาน


4. เงินเดือนน้อย : รู้จักประหยัดเงิน


5. อกหัก : เพื่อหารักใหม่ ทำอย่างไรเมื่ออกหัก


6. แฟนมีชู้ : จะได้รู้ว่าเขาไม่ดีพอสำหรับเรา


7. ล้มเหลว : เพื่อจะก้าวไปประสบความสำเร็จ


8. ไม่มีใครเห็นค่า : รู้จักค่าของตัวเอง


9. ปัญหามากมาย : ความท้าทายที่ต้องผ่านพ้นมัน


10. ผิดแผน : คราวหน้าต้องมีแผนสำรอง


11. อุบัติเหตุ : ทีหลังต้องระมัดระวังตัว


12. ของหาย : รู้จักเก็บให้เป็นที่


13. โดนหลอก : เรียนรู้เพื่อไม่ให้โดนหลอกอีก


14. เครียดกับงาน : ความท้าทายใหม่ๆ


15. เจอมนุษย์ป้า : เพิ่มความอดทน อดกลั้นให้ตัวเอง


16. เจอคนไม่มีมารยาท : จำขึ้นใจว่าคนไม่มีมารยาทผู้คนรังเกียจ


17. ผู้คนมักชอบด่าเด็กเล่นเกม : แต่เกม ก็สามารถหาเงินจากเกมได้ สร้างชื่อจาก

มันได้


18. โดนคนนิทา : จะได้รู้ว่าใครคบได้บ้าง


19. เกิดเรื่องเลวร้ายในชีวิต : จะได้รู้ว่ามีมิตรแท้คอยช่วยอยู่กี่คน


20. ไม่มีใครรัก : เรารักตัวเอง


21. ไม่มีแฟน : ดูแลตัวเองได้


22. โดนตำหนิ : กลับมาปรับปรุงตัวเอง


23. เกิดข้อผิดพลาด : โทษตัวเองไว้ก่อนแล้วแก้ไข


24. เมื่อมีข้อผิดพลาด : หาทางแก้แทนที่จะหาแพะ


25. รั้งไม่อยู่ : ก็ปล่อยมันไป ไม่มีอะไรเป็นของเรา




พ่อแม่รังแกฉันเป็นอย่างไร




พ่อแม่รังแกฉันเป็นอย่างไร

   พ่อแม่รังแกฉันเป็นอย่างไร อะไรที่คุณสอนลูกแล้วกลายเป็นผลเสียต่อลูกบ้าง

คิดว่ามีอะไรบ้างครับเป็นแบบไหนกันที่ทำให้ลูกต้องกลายเป็นเด็กเครียดหาทางออก

ด้านอื่น ติดเกม เป็นเด็กมีปัญหา หรือถูกคนอื่นมองไปผิดจากผู้อื่นในสังคม วันนี้

บทความจากเว็บความรู้รอบตัวของเรา จะมาลองหาข้อสงสัยกันดูว่ามีอะไรบ้าง

แบบไหนที่เป็นการทำร้ายลูกคุณทางอ้อมโดยที่คุณไม่รู้ตัว


พ่อแม่รังแกฉันเป็นอย่างไร


1. ตามใจ : อันนี้คงรู้อยู่แล้วว่าโอ๋เด็กทุกอย่างจะเสียนิสัยอย่างไร


2. ยัดเยียดสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ : คอยกดดันเขาให้ทำตามที่ตัวเองบอกตลอดเวลา

ไม่ปล่อยให้เขาใข้ความคิดอย่างอิสระในแบบของเด็กเลย ไม่ผ่อนคลายแก่เด็ก


3. เอาลูกไปเปรียบเทียบ : อย่าทำนะครับเด็กจะมีปม


4. สอนให้หยิ่ง ดูถูกคน : ไม่ยอมรับความช่วยเหลือใคร สอนให้พึ่งตนเองก็ดีอยู่แต่

บางครั้งกลายเป็นสอนให้หยิ่ง มือหนักไม่สนใจใคร อยู่คนเดียว กันเองมากเกินไปนั่น

แสดงถึงเรื่องมารยาท ที่ไม่ดีเอาเสียเลยรวมถึงโตไปการทำงานที่ต้องทำงานเป็นทีม

อาจต้องเรียนรู้หาวิธีการทำงานเป็นทีม ใหม่หมดเพราะนิสัยไม่เหมาะกับงานทำงาน

แบบนั้น


5. ปกป้องมากเกินไป : อะไรก็แตะต้องไม่ได้ ครูตีไม่ได้เพื่อนเล่นแรงๆไม่ได้

โดนด่าไม่ได้ ลูกคุณหนูสุดฤทธิ์


6. นำความฝันที่ตัวเองทำไม่ได้ไปใส่ให้ลูก : พ่อแม่อยากเป็นหมอหรืออยากให้

ลูกเป็นหมอ เป็นนั่นเป็นนี่ อะนั่นไอนี่ ใส่ๆเข้าไปให้ลูกแต่ไม่ได้ถามเขาเลยว่าอยาก

เป็นอะไร อยากเป็นตัวของตัวเองรึเปล่า


7. ลูกไม่เคยผิด : ทำอะไรไม่เคยผิดลูกเทวดาโทษแต่คนอื่น


8. ใช้เงินแก้ทุกสิ่ง : ใช้เงินหรือวัตถุแก้ปัญหาทุกสิ่งเช่น ทำอะไรก็จ้างเอาทั้งๆที่

ทำเองได้ ต้องให้ลูกอยู่บ้านก็ให้เงินไว้เล่นเกม หรือยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อไม่ต้องติดอะไร

นั้นทำไอนี่เพื่อขอที่นั่งในโรงเรียนดีๆโดยไม่ต้องสอบแข่งอะไรแบบนี้ เป็นตันเอ้ยต้น


9. แพ้ไม่เป็น : สอนให้ลูกไม่ยอมแพ้แม้จะต้องแพ้ คือไม่ยอมคนทั้งๆที่ ไม่สามารถสู้ได้

แพ้ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ ห้ามแพ้ ห้ามล้มเหลว ห้ามทำให้ผิดหวัง แบบนี้กดดันเด็กและ

จะติดเป็นนิสัยอีกด้วย


10. มีผู้ปกครองเป็นมนุษย์ป้า : แน่นอนว่าเด็กหลายๆคนนั้นต้องเลียนแบบและดู

จากการกระทำของผู้ใหญ่โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง จงอย่าสืบทอดความเป็น

มนุษย์ป้า จากแม่ สู่ลูกอีกเลยจ้า เริ่มจากปรับที่ตัวคุณก่อนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตร

หลานของตนเท่านี้เองครับ




เคราดำ เอ็ดเวร์ด ทีช (Edward Teach)




เคราดำ เอ็ดเวร์ด ทีช (Edward Teach)

    เคราดำ เอ็ดเวร์ด ทีช (Edward Teach) ชื่อเดิม หรือฉายา เคราดำ เป็นโจรสลัดผัก

เอ้ย โจรสลัดเฉยๆ สันนิษฐานว่าเป็นคนเกิด ที่บริสตอลประเทศ อังกฤษปี ค.ศ.1680 

เริ่มเป็นกะลาสีบนเรือส่วนบุคคล ในระหว่างสงคราม สงครามพระราชินีแอนน์ 

(Queen Anne's War)  เราเคยเสนอเรื่องของที่มาของคำว่า บอยคอตซึ่งเป็นเกี่ยวกับ

บุคคลไปแล้ว มาวันนี้เคราดำบ้างละกัน ที่มาจากโจรสลัดครับผม Blackbeard



  หลังจากสงครามสงบยุติลงแล้วนั้น ไอ้เคราดำ ก็เริ่มเป็นโจรสลัด จากตำแหน่งลูกเรือ

หลังจากนั้นเขาก็ออกมาเป็นโจรสลัดด้วยตัวเองจับเรือค้าขายของฝรั่งเศส

 แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น ควีน แอนน์ส รีเวนจ์ (Queen Anne's Revenge) อันแสนโด่งดัง

เขาได้ทำการปรับเปลี่ยนเรือสินค้าไร้ค่าสำหรับโจรสลัดให้มาเป็นเรือรบที่เต็มไปด้วย

ปืนใหญ่เกือบ 50 กระบอกฉายาของเขาว่าเคราดำ เพราะเนื่องจากเขามักสร้างภาพ

ลักษณ์ตัวเองให้น่ากลัวและพิลึกเพื่อขู่ศัตรู


   ไอ้เคราดำ Blackbeard เป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง ออกปล้นเรือสินค้า

บริเวณ ทะเลแคริบเบียน และชายฝั่งตะวันออกของอาณานิคมอเมริกัน แถบมหาสมุทร

แอตแลนติกสร้างความกลัวเป็นที่น่าขวัญผวาของเรือสินค้าในแถบนั้นเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยความที่ ไอ้เคราดำ เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่มีหนวดเครารุงรัง แลดูน่ากลัว จึงได้รับ

ฉายาว่า “ไอ้เคราดำ” (Blackbeard) เขาได้ร่วมกับเพื่อนๆของเขาปิดท่าเรือเอาไว้

จน นายทหารเรือชาวอังกฤษ ชื่อว่า โรเบิร์ต เมย์นาร์ด เขานำทัพเรือต้อนเรือโจรสลัด

ของไอเคราดำ เขาเข้าสู้กับ ไอ้เคราดำ ในที่สุดก็ล้ม ไอ้เคราดำลงได้ ปิดตำนานโจร

สลัดเคราดำผู้น่าเกรงขามลง  เอาไว้เป็นความรู้รอบตัวก็แล้วกันครับ สำหรับเรื่องนี้

ถือว่าเป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ในอดีตที่เกี่ยวกับเรื่องโจรสลัดที่มีชื่อเสียง

เอ็ดเวิร์ด ทีช (อังกฤษ:Edward Teach) ไอ้เคราดำ หรือ แบล็คเบียร์ด (Blackbeard )

โจรสลัดผู้มีชื่อเสียงคนนึง



คนรักแบบไหน ที่ทำให้ความรักล่ม




คนรักแบบไหน ที่ทำให้ความรักล่ม

 คนรักแบบไหนกันที่มีแนวโน้มจะสร้างปัญหาให้แก่ความสัมพันธ์ของ คนทั้ง2 ได้ 

เพราะอะไรและเป็นอย่างไรถึงจะดูว่าสร้างปัญหา ความไม่เข้าใจต่อกันหรือลักษณะ

นิสัยแบบใดที่เป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งของคู่รัก พอขัดแย้งก็ต้องเลิกรากันมีปัญหา

อกหักก็ต้องมานั่งคิดว่าทำอย่างไรดีเมื่ออกหัก โอ้ยปัญหามากมายเลยทีนี้

          เรามาดูกันดีกว่าว่าปัญหาแบบใดเมื่อเกิดขึ้นจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์

ของคู่รักบ้าง จะได้รู้ตัวก่อนเพื่อจะได้นำไปพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ป้อกันความ

ขัดแย้งทะเลาะกันระหว่างคู่รัก


คนรักแบบไหน ที่ทำให้ความรักล่ม


1. มั่นใจในตัวเองมากเกินไป : จนไม่สนใจความคิดหรือคำพูดของคนอื่นแม้กระทั่ง

แฟนตัวเองคนรักตัวเองแบบนี้ มันจะทำให้อีกฝั่งไม่พอใจเอาได้นะครับ


2. เลี่ยนเกิน : หวานเกินไปก็ไม่ดีเอาอเยู่กลางมั่งก็ได้เดี๋ยวแฟนจะรำคาญเอา เอา

แบบพออบอุ่น พอให้ชุ่มชื่นอย่าให้มันดูเยอะจนเขาเลี่ยน


3. เย็นชาเกิน : แข็งเป้นท่อนไม้ไม่อบอุ่นไม่หือไม่อือ ไม่อะไรทั้งสิ้นเย็นชาไม่สนใจ

ไม่แคร์อะไรเลย


4. งอลเกิน : เข้าใจนะบางทีมันน่ารำคาญ เขาว่ามางี้


5. หึงเกิน : อันนี้ก็เข้าใจหึงจนบางทีเสียการเสียงานก็มีนะครับ แต่ข้อดีของแฟนขี้หึง

ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน


6. ลืมอดีตไม่ได้ : ลืมแฟนเก่าไม่ลง โหยหาความรักความเมตตาจากแฟนเก่า

แสดงอาการออกมาชัดเจน คนปัจจุบันเขาจะน้อยใจเอานะ


7. ไม่มีเวลาให้ : บ้างานติดเพื่อน ทำงานไม่มีเวลาให้คนรัก ติดเพื่อนติดเที่ยว

ติดเกม วันๆนั่งเฝ้าร้านเกม ทำยังกับหาเงินจากเกมทั้งๆที่ไปเล่นจนติดงอมแงม


8. มีแฟนหรือเจ้านาย : พวกชอบสั่งชอบบงการชีวิตคนอื่น จู้จี้มากเกินไปสั่งนู่นสั่งนี่

(ซักวันเขาจะหมดความอดทน)


9. พวกสตอเบอร์รี่ : ทอแหล โกหกเป็นนิสัยจับได้ไม่เลิก โกหกไม่่นาเชื่อถือจนเกิด

ทะเลาะกันไปมานี่ลามไปถึงความไม่เชื่อใจไว้ใจอีกด้วยนะครับหลายเรื่องเลย


10. ไม่จริงจัง : หรือมองหาสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ คบเราไปก่อนเพื่อรอวันที่เจอคนที่

ดีกว่าใช่กว่าเราแล้วจะทิ้งเราไปหาคน อาจจะรวยกว่า หน้าตาดีกว่ามีชื่อเสียงมากกว่า

อะไรแบบนี้


ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้หรืออะไรในแบบที่เราว่ามาสมควรคุยกันปรับความเข้าใจกันเสีย

นะครับ






คิดบวกในการทำงาน





คิดบวกในการทำงาน

   การทำงาน คิดบวก  เบื่อมั้ยกับการทำงานทั้งโดนเพื่อแกล้งเจ้านายไม่เข้าใจ 

รู้สึกแย่อยากออกจากงาน เรื่องเยอะ เบื่องานที่ทำเรามาลองดูว่าการคิดบวกกับการ

ทำงานจะส่งผลดีอย่างไรบางทีอาจทำให้คุณจากพนักงานธรรมดา กลายเป็น

พนักงานที่ดีไปถึงขั้นพนักงานดีเด่นก็ได้ใครจะรู้ อาจจะทำให้คุณมีอาการรักงานที่ทำ

ก็เป็นได้


คิดบวกในการทำงาน


1. งานน่าเบื่อ : มองให้มันลึกลงไปในงานที่ทำให้มทันดีขึ้นหรือหาอะไรใหม่ๆ

ในการทำงานของเรา


2. ปัญหาแบบนี้ทำไมเราต้องเป็นคนแก้งานหรือทำมัน : เจ้านายแบะเพื่อน

ร่วมงานไว้ใจเราหรือต้องการทดสอบความสามารถเรา


3. ปัญหามาไม่หยุดเลย : เรื่องตื่นเต้นทั้งนั้น สนุกกับงานและการแก้ปัญหา


4. เพื่อนร่วมงานแย่ๆ : ทำอย่างไรที่จะสามารถหาวิธีการทำงานเป็นทีม

กับคนอื่นๆได้


5. งานมีปัญหาอีกแล้ว : ปัญหาคือความท้าทายที่เราต้องแก้ไปให้ได้เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเจ๋งจริง


6. เงินเดือนน้อย : ฝึกการบริหารเงินหรือหาช่องทางให้ได้เยอะกว่าเดิม


7. ปัญหาที่แก้ไขยาก : ความท้าทายที่คอยทดสอบเรา


8. ขี้โมโห : ใจเย็นโชว์ความเป็นมืออาชีพและทำเป้นคนสุขุม


9. ปัญหาจากเพื่อนร่วมงานก่อมา : สร้างสปิริตและความสามัคคีในที่ทำงาน

ร่วมมือร่วมใจกันหาทางออก


10. พวกชอบนินทา : จะได้รู้ว่าใครน่าคบ ใครคบหาได้บ้างไม่ได้บ้าง


10. โดนคนที่ทำงานจีบ (รำคาญ) : ดีกว่ามีคนเกลียด


11. งานหนัก : ฝึกฝนตัวเอง เพื่อความชำนาญ


12. ไม่มีใครเชื่อถือ เชื่อมั่น : เป็นโอกาศพิสูจน์ว่าเราดีพอ


13. ขาดความรับผิดชอบ : ทำตัวเองให้ดีขึ้น


14. โดนเจ้านายด่า : พัฒนาตัวเองคราวหน้าไม่ได้ด่าฉันแน่


15. ทำดีทุกอย่างแต่กลับได้แต่ความเลวร้าย : เปิดโอกาศให้ตัวเองได้เจอที่

ทำงานใหม่สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เป็นประสบการณ์ของชีวิต


  ลองดูครับไม่มีใครทำได้หมดแต่เราเลือกได้จะทำอย่างไรกับมันแทนที่จะมาหงุดหงิด

ไม่พอใจลองเปลี่ยนวิฑีคิด หรือปรับเปลี่ยนที่ตัวเราก่อนเผื่อจะมีอะไรดีๆขึ้นมา