สี่สุดยอดวรรณกรรมจีน มีอะไรบ้าง




สี่สุดยอดวรรณกรรมจีน มีอะไรบ้าง

    4 สุดยอดวรรณกรรมจีน 


1. สามก๊ก : สามก๊กเป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ของจีน ที่ประพันธ์ขึ้นในช่วง

ศตวรรษที่ 14 สมัยราชวงศ์หยวน โดยนักเขียนชื่อ หลอกว้านจงเป็นการนำเรื่องราว

ประวัติศาสตร์จีนในจดหมายเหตุมาอ้างอิงและแต่งเติมเพื่อให้สนุกและครบรสมาก

ยิ่งขึ้นจัดเป็นวรรณกรรมเชิงพงศาวดารที่นำมาจาก เฉินโซ่วเป็นนักประวัติศาสตร์จีน

ในสมัยราชวงศ์จิ้น และเป็นผู้แต่งจดหมายเหตุสามก๊กและอดีตอดีตขุนนางของ

จ๊กก๊กมาประพันธ์เพิ่มเข้าไปเป็นการแบ่งขั้วอำนาจของเจ้าแคว้นต่างๆที่ครอบครอง

ดินแดนกันตั้งแต่สมัยปราบโจรโพกผ้าเหลือง ของราชวงศ์ฮั่นจนเข้าสู่ยุคแยกเป็น

3 ก๊กใหญ่คือ วุยก๊ก ของโจโฉ  จ๊กก๊ก ของเล่าปี่   ง่อก๊ก ของ  ซุนกวน สามก๊ก

เป็นเรื่องการต่อสู้ทั้งบุ๋นและบู๊ทีพลิกแพลงไปมา ส่อถึงนิสัยใจคอผู้คน เหตุการณ์

ความวุ่นวาย น่าติดตาม ขึ้นครองความเป็นใหญ่ สามก๊กนี้ได้รับความนิยมชมชอบ

เป็นอย่างมากในสมัยราชวงศ์หมิง ในลักษณะ งิ้วซะส่วนใหญ่วรรณกรรมจีนอิง

ประวัติศาสตร์ เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมีการตีพิมพ์ มากกว่า

10 ภาษา


2. ความฝันในหอแดง :  แต่งโดยเฉาเสี่ยฉิ้น ประมาณปีพ.ศ. 2297 แต่เขาเสียชีวิต

ก่อนแต่งจบ มีนักประพันธ์มากมายแต่งเรื่องต่อให้จบ ฉบับที่ได้รับการยอมรับคือฉบับ

ของเกาเออ เป็นเรื่องความรักของหนุ่มสาวในตระกูลเจี้ย ซึ่งเป็นตระกูลชั้นสูงในสมัย

ราชวงศ์ชิง ตัวละครเอกคือเจี้ยเป่าอี้และหลินไต้อี้ ที่ถูกกีดกันความรักจากคนในตระกูล

(แนวนี้เยอะ) เป็นเรื่องราวความรักที่ต้องฝ่าฟันและเรื่องราวของการสะท้อนจารีตและ

ประเพณีของชาวจีนในยุคนั้น เป็นเรื่องราวความรักชายหญิง ความกลงไหลในตัณหา

ของมนุษย์ และระบบศํกดินาที่เสื่อมถอยลงซึ่งใช้ตระกูลเจี้ยสะท้อนออกมาในเรื่อง


3. ซ้องกั๋ง หรือวีรบุรุษเขาเหลียงซัน : แต่งขึ้นปลายสมัยราชวงศ์ซ้อง เป็นเรื่องของ

ผู้กล้า 108 คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง เป็นที่มาของการรวมตัวกันที่เขาเหลียงซาน เพื่อมา

จัดการปกป้องกันภัยร้ายให้บ้านเมือง สาบานกันเป็นพี่น้องเพื่อปกป้องคนดี ปราบปราม

ทำลายคนชั่วสร้างความยุติธรรมให้กับแผ่นดิน



4. ไซอิ๋ว : แน่นอนเรื่องนี้ถูกนำไปทำหนังมากมายไม่แพ้เรื่องอื่น เป็นการที่พระถังซัมจั่ง

กับลูกศิษยืของเขาร่วมกันอัญเชิญพระไตรปิฎกยังชมพูทวีปเป็นผลงานการประพันธ์ของ

อู๋เฉิงเอินในสมัยราชวงศ์หมิง เนื้อเรื่องต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคมากมายนานับประการ

เพื่อจะไปถึงจุดหมาย ต้องเดินทางเจอทั้งปัญหามากมาย ปีศาจ รวมถึงบททดสอบที่ทั้ง

พระถังซุมจั่ง และลูกศิษย์อย่าง ซุนหงอคง ตือโป๊ยก่าย และซัวเจ๋ง ต้องเผชิญเพื่อไป

ให้ถึงจุดหมาย


ทั้ง 4เรื่องนี้ว่ากันว่าเป็นแรงบันดาลใจและแบบอย่างในการแต่งนิยามกำลังภายใน*

ของกิมย้ง*

นิยายของกิมย้งมีกี่เรื่องลองไปหาอ่านที่นี่ครับ >> ผลงานนิยายของกิมย้งมีกี่เรื่อง


ยอดฝีมือปรมาจารย์ด้านงานนิยายอันดับ1 ในตอนนี้จนเรียกได้ว่า 100 ปี มี 1 กิมย้ง

เลยทีเดียว




7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่ในประเทศ & ทวีป อะไรบ้าง




7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่ใน

ประเทศ & ทวีป อะไรบ้าง


มาดูกันว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั้น มีที่ตั้งอยู่ในประเทศไหนบ้างและทวีปอะไร

บ้างครับ


7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ยุคโบราณ)


1. เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย  :  ที่โอลิมเปีย   ประเทศกรีซ   ทวีปยุโรป


2. เทวรูปเทพเจ้าเฮลิออส(อะพอลโล) : เกาะโรดส์ ประเทศกรีซ   ทวีปยุโรป


3. มหาพีระมิดแห่งกีซา  : ประเทศอียิปต์   ทวีปแอฟริกา


4. วิหารอาร์ทิมิส (Temple of Artemis) : อยู่ในประเทศตรุกี  เป็น

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ในทวีปเอเชีย


5. สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน  : แม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรัก   ทวีปเอเชีย


6. สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส หรือ สุสานแห่งโมโซลูส : ประเทศตุรกี

ทวีปเอเชีย


7. หอประภาคารโรส  : เกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ของอียิปต์โบราณ

ทวีปแอฟริกา



7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ยุคกลาง) 


1. หอเอนเมืองปิซา : เมืองปิซา   ประเทศอิตาลี   ทวีปยุโรป


2. กำแพงเมืองจีน  :  โดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ทั่วประเทศจีน   ทวีปเอเชีย


3. เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง :  สมัยราชวงศ์หมิง   ที่เมืองนานกิง

ประเทศจีน   ทวีปเอเชีย


4. สนามกีฬากรุงโรม โคลอสเซียม  : กรุงโรม   ประเทศอิตาลี   ทวีปยุโรป


5. สโตนเฮนจ์  :  เมืองซัลลิสเบอรี   ประเทศอังกฤษ   ทวีปยุโรป


6. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย (ฮาเจียโซเฟีย)  : นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ทวีปเอเชีย


7. สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย : เมืองอเล็กซานเดรีย  ประเทศอียิปต์ ทวีปแอฟริกา



7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ยุคใหม่)  


1. กำแพงเมืองจีน  :  โดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ทั่วประเทศจีน   ทวีปเอเชีย


2. ชีเชนอิตซา : ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูกาตัง รัฐยูกาตัง ทางภาคตะวันออก เฉียงใต้

ของประเทศเม็กซิโก   ทวีปอเมริกาเหนือ


3. ทัชมาฮาล : ตั้งอยู่ในเมืองอัครา ประเทศอินเดีย  ทวีปเอเชีย


4. นครเพตรา(เปตรา) :   ประเทศจอร์แดน   ทวีปเอเชีย


5. สนามกีฬากรุงโรม : กรุงโรม   ประเทศอิตาลี   ทวีปยุโรป


6. มาชูปิกชู  : ตั้งอยู่บนเทือกเขา แอนดีส  ในประเทศเปรู   ทวีปอเมริกาใต้


7. รูปปั้นของพระเยซู : เมือง ริโอ เดอ จาเนโร กรุงริโอ เดอ จาเนโร

ประเทศบราซิล   ทวีปอเมริกาใต้


--- รวมแล้ว ตั้งอยู่ใน


ทวีปเอเชีย  8  แห่ง ใน  5 ประเทศ คือ  จีน  , จอร์แดน  , อิรัก  , ตุรกี  , อินเดีย


ทวีปอเมริกาใต้  2  แห่ง ใน  2 ประเทศ คือ  บราซิล  , เปรู


ทวีปอเมริกาเหนือ  1  แห่ง ใน  1 ประเทศ คือ  เม็กซิโก


ทวีปแอฟริกา  3  แห่ง ใน  1 ประเทศ คือ  อียิปต์


ทวีปยุโรป  5  แห่ง ใน  3 ประเทศ คือ  อิตาลี  , อังกฤษ  , กรีซ




7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ในเอเชีย




7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ในเอเชีย

  7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ในเอเชีย  มีอะไรบ้างและอยู่ในประเทศ

ไหนบ้างลองมาดูกันครับ



1. วิหารอาร์ทิมิส (Temple of Artemis) :  หรือ วิหารไดแอนา (Temple of

Diana) เป็นมหาวิหารสร้างด้วยหินอ่อน สร้างเพื่อถวายแก่เทพเจ้าอาร์เทมีส หรือ

เทพเจ้าอาร์ทิมิส  ตั้งอยู่ที่ ประเทศตุรกี



2. สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน : “The Hanging Gardens of Babylon” ปัจจุบัน

ไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว เป็นสวนลอยที่สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่ง

กรุงบาบิโลเนีย และ พวกคาลเดียน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลุ่มแม่น้ำ

ไทกริส-ยูเฟรตีส ในประเทศอิรัก



3.  สุสานแแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส : สร้างขึ้นโดยราชินี อาเตมีสเซีย ซึ่งเป็นพระ

ขนิษฐา ของพระองค์ด้วยด้วยความรักหลังจากสวามีได้ตายลงไปจึงสร้างสุสานที่

ยิ่งใหญ่และสวยงาม เป็นอย่างมาก เอาไว้เป็นที่ระลึก สุสานแห่งนี้ยังคงเหลือแต่

ซากเท่านั้นเนื่องด้วยแผ่นดินไหว สุสานแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ประเทศตุรกี



4. กำแพงเมืองจีน : กำแพงที่ยาวที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้*

ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศจีน ใช้เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่านอก

ด่านโดยเฉพาะพวกฮันส์ หรือชนเผ่าซยงหนู กำแพงเมืองจีนแห่งนี้ยังได้รับรองเป็น

มรดกโลกอีกด้วย



5. เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง  :  อยู่ที่เมืองนานกิงประเทศจีน เป็นเจดีย์สูง

9 ชั้น สวยงาม สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์หมิง  ลักษณะทรงรูปแปดเหลี่ยม หลังคา

มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว



6. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย (ฮาเจียโซเฟีย) : โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.

532-537โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ ได้รับการสร้างใหม่หลายครั้ง

ปัจจุบันกลายเป็น สุเหร่าโซเฟีย ตั้งอยู่ในประเทศตุรกี



7. ทัชมาฮาล : Taj Mahal อนุสรณ์สถานแห่งความรัก สุสานหินอ่อนสีขาว เป็นสุสาน

ของ มุมทัชมาฮัล ราชินีผู้เป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์เยฮัน ตั้งอยู่ในเมืองอัครา

ประเทศอินเดีย



8. นครเพตรา(เปตรา) :  Petra ผาหินทรายที่เป็นบ้านเรือนและที่อาศัยอยู่ในถ้ำหิน

ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาวาดี มูซาหุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบาใน

ประเทศจอร์แดน  ได้รับลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย


ได้ทั้งหมด 8 แห่งครับ รวมทั้ง ยุคโบราณ ยุคกลาง และยุคใหม่ ส่วน 7 สิ่งมหัศจรรย์

ของโลกอยู่ในทวีปและประเทศไหนบ้าง เชิญไปดูได้ที่นี่เลยครับ


>>> สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่ในประเทศ & ทวีป อะไรบ้าง


เผื่ออยากรู้ทั้งหมดว่ามาจากที่ไหน ทวีปอะไรบ้าง




(ราชวงศ์โรมานอฟ ) กษัตริย์และราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย




กษัตริย์และราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย

   กษัตริย์และราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย

คือ สมเด็จพระจักรพรรดิซาร์นิโคลัสที่ 2 Nicholas II of Russia

แห่ง ราชวงศ์โรมานอฟ  Romanov 


พระองค์เป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายของประวัติศาสตร์รัสเซีย หลังจากการปฏิวัติ

รัสเซีย ค.ศ. 1917 ถึงจุดสูงสุดที่โค่นอำนาจของพระองค์ลงได้ สาเหตุอันเนื่องมา

จาก ว่าสภาพเศรฐกิจการกินอยู่ของประชาชนนั้นยากลำบากพระองค์ไม่สามารถ

แก้ปัญหานี้ได้พระองค์ทรงอ่อนแอ อ่อนด้อยในการจัดการกับปัญหาภายในของ

ประเทศ ขนาดในที่ของพระองค์เองยังปล่อยให้ นักบวช รัสปูติน* นักบวชนอกรีต

มีอิทธิพลเหนือราชสำนัก มามีอำนาจใหญ่โตจนทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจเนื่องจาก

รัสปูตินนั้นชอบจัดงานรื่นเริง เฮฮา ในชณะที่ประเทศกำลังยากจนแต่เขากับเอา

เงินมาผลาญเล่น โดยที่พระเจ้าซาร์ก็ทรงหลงเชื่อและยอมรัสปูตินแทบทุกอย่าง

เรื่องภายนอกพระองค์ไม่ประสบความสำเร็จพระองค์ทรงแพ้สงครามกับสงคราม

รัสเซีย-ญี่ปุ่น (ชัยชนะของญี่ปุ่นหลังจากปฏิรูปเมจิ ถือเป็นชัยชนะในสงครามใหญ่

ครั้งแรกของชาติตะวันออกในยุคใหม่ ทำเอาคนรัสเซียอับอายขายหน้าไปทั่วยุโรป)

หนำซ้ำพระองค์ยังโดน รัสปูติน ยุยงให้ไปบัญชาการรบด้วยตัวเองในสงครามโลก

ครั้งที่ 1 พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นก็ไม่สามารถควบคุมกองทัพได้แม้แต่น้อย นั่น

ทำให้ชาวรัสเซียไม่พอใจ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 มากยิ่งขึ้นไปอีกเพราะกลับมา

ก็เอาแต่รื่นเริงกับรัสปูตินอยูบ่อยครั้ง ประชาชนก็ก่อการประท้วงขึ้นในรัสเซีย จนใน

ที่สุดจึงโดนคณะปฏิวัติบอลเชวิก บังคับให้ทรงสละราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2460

(ค.ศ. 1917) และถูกปลงพระชนม์ด้วยการถูกรุมกระหน่ำด้วยปืนพร้อมราชวงศ์

พระองค์อื่นๆ เป็นอันจบสุดท้ายของกษัตริย์และราชวงศ์รัสเซีย

เป็นยุคต่อมาของ สหภาพโซเวียต *


* พระเจ้าซาร์นีโคลัสที่ 2 เคยบอกว่า ออตโตมัน* เป็นคนป่วยของยุโรป แต่ไม่น่า

เชื่อว่าไม่นานนักพระองค์กลับกลายเป็นผู้ที่ต้องตกอับเสียเองมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ

คำทำนายของรัสปูติน เกี่ยวกับเรื่องของการสิ้นราชวงศ์โรมานอฟด้วยครับ ลองไป

ตามอ่านดู >>> คำทำนายของรัสปูติน*


ปล . ถึงพรองค์จะมีปัญหาจนต้องสูญสิ้นราชวงศ์แต่กาลครั้งหนึ่งพระองค์ก็เคยเป็น

เหมือนผู้ที่ช่วยเผยแพร่ทำความรู้จักสยามให้เป็นที่รู้จักในยุโรปนั่นมีส่วนช่วยให้

สยามนั้นเป็นที่รู้จักมากขึ้น  โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จ

เยือนรัสเซีย ซึ่งเป็นส่วนนึงของการประพาสยุโรปในวันที่ 3 กรกฎาคม 1897

รัชกาลที่ 5 กับ พระเจ้าซาร์นีโคลัสที่ 2  ทรงฉายภาพร่วมกัน ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ทั้งสองพระองค์ประทับนั่งคู่กันตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วยุโรปซึ่งถือว่าเป็น

การช่วยไทยการเสียดินแดนได้ส่วนนึงจากการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสและอังกฤษ

เพราะรัสเซียในสมัยนั้นถือว่าเป็นมหาอำนาจของยุโรปประเทศนึงเลยก็ว่าได้การได้เป็น

เพื่อนกับรัสเซียถือว่าเป็นเกราะป้องกันให้สยามไม่มากก็น้อย






รางวัลโนเบลมีกี่สาขา




รางวัลโนเบลมีกี่สาขา 

   ตอบ รางวัลโนเบล ที่มีระบุไว้ในพินัยกรรมของนาย อัลเฟรด โนเบล 

รายละเอียดที่มาของรางวัลได้จากลิ้ง นั้นมีทั้งหมด 5 สาขา คือ +1 สาขาที่เพิ่มมาภายหลัง

แต่ถ้าจะนับก็คือนับได้เป็น 6 อีกสาขานั่นคือ รางวัลโนเบลเมมโมเรียลสาขาเศรษฐศาสตร์ 

มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Sveriges Riksbank Prize สาขาเศรษฐศาสตร์เพื่อรำลึกถึงอัลเฟรด 

โนเบล หรือเรียกสั้นๆไปว่า economic sciences 

รางวัลโนเบล




1. สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ (physiology or medicine) : รับผิดชอบโดย

คณะกรรมการแห่งสถาบันคาโรลินสกา


   - บุคคลที่เป็นที่รู้จักที่ได้รับรางวัลสาขานี้ : อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง

(Sir Alexander Fleming)



2. สาขาฟิสิกส์ (physics)  : รับผิดชอบโดย ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์

แห่งสวีเดน


   - บุคคลที่เป็นที่รู้จักที่ได้รับรางวัลสาขานี้ : อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

( Albert Einstein ) บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ



3. สาขาเคมี (chemistry) : รับผิดชอบโดย ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่ง

สวีเดน


   - บุคคลที่เป็นที่รู้จักที่ได้รับรางวัลสาขานี้ :  เออร์เนสท์ รัทเทอร์ฟอร์ด

( Lord Ernest Rutherford ) "บิดา" แห่งนิวเคลียร์ฟิสิกส์ เขาเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีการ

โคจรของอะตอม



4. สาขาสันติภาพ (peace) : รับผิดชอบโดย สถาบันโนเบลแห่งนอร์เวย์


   - บุคคลที่เป็นที่รู้จักที่ได้รับรางวัลสาขานี้ :  มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์

(Martin Luther King Jr.) นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ชาวอเมริกัน



5. สาขาวรรณกรรม (literature) : รับผิดชอบโดย ราชบัณฑิตยสภาแห่งชาติสวีเดน


   - บุคคลที่เป็นที่รู้จักที่ได้รับรางวัลสาขานี้ : จอห์น สไตน์เบ็ค  ( John Steinbeck )


*6 Economic Sciences เศรษฐศาสตร์ ( เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์ )


โดยมีการเพิ่มรางวัลที่มาจัดในวันเดียวและรูปแบบเดียวกันรางวัลโนเบลให้ในสาขา

เศรษฐศาสตร์ ในปี พ.ศ.2511 ธนาคารชาติสวีเดนมีอายุ 300 ปี มอบรางวัลโดย

ธนาคารกลางสวีเดน (Sveriges Riksbank) เพื่อระลึกถึง อัลเฟร็ด โนเบล แต่รางวัล

เศรษฐศาสตร์นั้นไม่ได้อยู่ในพินัยกรรมของ อัลเฟรด โนเบล จึงไม่ถือว่าเป็นรางวัลโนเบล

สำหรับบางคน แต่ในเว็บไซต์มีการนับรางวัลนี้เข้าไปด้วยเป้น 6 สาขา เราจึงนับว่าเป้นสาขาที่ 6 ของ

รางวัลโนเบล



-- พิธีมอบรางวัลโนเบลจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 10 ธันวาคม โดยจัดขึ้นครั้งแรก

หลังจากที่ อัลเฟรด โนเบลเสียชีวิตไปได้ 5 ปี (ค.ศ. 1901) โนเบลเสียชีวิต ปี 1896 




หลังคาโลก คืออะไร




หลังคาโลก คืออะไร

          หลังคาโลก คือฉายาของ ที่ราบสูงทิเบต Tibetan Plateau ซึ่งตั้งอยู่ใน

เขตการปกครองของประเทศจีน* เขตปกครองตนเองทิเบต ของจีนเป็นเขตที่ราบสูงใน

ทวีปเอเชียตั้งอยู่ทาง ตะวันออกเฉียงเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ทิเบตเป็นบริเวณที่

สูงที่สุดในโลก มีระดับความสูงเฉลี่ย 4,900 เมตร ที่ราบสูงทิเบตตั้งอยู่ทางตะวันตก

เฉียงใต้ของประเทศจีน ทิเบต และ มณฑลชิงไห่ มีพื้นที่บางส่วนในลาดักแคว้น

แคชเมียร์ เป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีเนื้อที่ 2.2 ล้านตารางกิโลเมตร(ประมาณ 5 เท่าของ

ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่) มีความสูงโดยเฉลี่ย 4,600 - 5,000  เมตร จากระดับ

น้ำทะเล อย่างสูงอะ จึงได้รับสมญานามว่า "หลังคาโลก" เป็นที่ใฝ่ฝันของนักเดินทาง

ที่ต้องไปท้าทายธรรมชาติอีกอย่างนึงเลย  เขตที่ราบสูงทิเบตนั้นมีภูเขาล้อมรอบ 3 ด้าน 

คือทางทิศเหนือมีเทือกเขาคุนหลุนทิศใต้มีเทือกเขาหิมาลัย และทาง ทิศตะวันตกมี

เทือกเขาคาราโครัม ที่ราบสูงทิเบตในประเทศจีนเป็นที่ราบสูงมีขนาดใหญ่และสูงที่สุด

ในโลก มี แผ่อาณาเขตจากเหนือถึงใต้ ประมาณ 1 พันกิโลเมตรและจากตะวันออกถึง

ตะวันตก 1,600 กิโลเมตร


    พื้นที่ที่ราบสูงทิเบตทั้งหมดยังรวมถึงบางพื้นที่ของประเทศภูฏาน เนปาล อินเดีย 

ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กิซสถานที่ราบสูงทิเบตมีธารน้ำแข็งอยู่ทั่วไป 

เป็นต้นกำเนิดแห่งแม่น้ำใหญ่มากมายในเอเชีย เป็นแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำที่สำคัญ

หลายสายได้แก่ แม่น้ำเหลือง แม่น้ำแยงซี แม่น้ำสินธุ แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขง แม่น้ำ

พรหมบุตร  (เอาไว้เป็นความรู้รอบตัว ได้นะ)


    ที่ราบสูงธิเบตมีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากทำให้มีอากาศเบาบางอุณหภูมิค่อน

ข้างต่ำ ที่ราบสูงธิเบตจึงเป้นที่สนใจของนักชีววิทยาและนักภูมิศาสตร์วิทยาศาสตร์

ที่จะศึกษาลักษณะของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนอีกด้วย



กลุ่ม G7 ประกอบไปด้วยประเทศใดบ้าง




กลุ่ม G7 ประกอบไปด้วยประเทศใดบ้าง


        หลังจากที่เราได้พูดไปแล้วเกี่ยวกับกลุ่ม CIS หรือพวกสหภาพโซเวียตเก่า ที่

เกิดจากการล่มสลายของสหภพโซเวียต กับ กลุ่ม BRICs ซึ่งเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา

อย่างรวดเร็ว วันนี้มาดูกันว่ากลุ่ม G7 นั้นซึ่ง เป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ

ของโลก 7 ชาติ จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาในปี ค.ศ. 1975 (กลุ่มอาเซียน*ของเราตั้งก่อน 8 

ปีเลยนะเนี้ย)


ประเทศทั้ง 7 ของกลุ่ม  G7 ได้แก่


1. สหรัฐอเมริกา  


2. อังกฤษ


3. ฝรั่งเศส


4. เยอรมนี


5. อิตาลี


6. แคนาดา


7. ญี่ปุ่น


โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้า รวมถึงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (มุ่งเน้น

เศรษฐกิจเหมือนกับ BRICs ที่ตั้งมาตอนหลังเน้นเรื่องนี้เช่นกัน) ก็เอามาคานอำนาจจาก

พวก  G7 นี่แหละนะกลุ่ม  G7 นี้มุ่งเน้นด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นประเทศอุตสาหกรรม

ชั้นนำของโลก มาช่วยหันจัดระเบียบโลก (อุ๊ต๊ะ) แก้ไขปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงของ

โลก ในปัจจุบันกลุ่ม G7 ได้เชิญประเทศรัสเซียเข้าร่วมประชุมผู้นำของ G7 เพื่อรับความ

ช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจเป็นประจำทุกปี ทำให้เรียกการประชุมแบบนี้ว่า  G8





ขนาดพื้นที่ ประชากร ศักยภาพ กลุ่มประเทศ BRICS




ศักยภาพ กลุ่มประเทศ BRICS


     จากบทความที่แล้ว ที่พูดเกี่ยวกับ กลุ่ม BRICS ไปคือ  


" กลุ่มประเทศ BRICS คืออะไร " (ตามไปอ่านก่อนได้ครับ สั้นๆไม่ยาวมาก)

ว่าเป็นกลุ่มอะไร และประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เอาตามหัวข้อนะครับ ขนาดพื้นที่

ประชากร และศักยภาพ คร่าวๆ เด่นๆของแต่ละประเทศแล้วกันครับ


B  :  Brazil   บราซิล  


-   มีพื้นที่   8,515,767  ตารางกิโลเมตร


-   จำนวนประชากร   200  ล้านคน


-   ศักยภาพเด่นๆ :   เป็นประเทศผู้ส่งออกเมล็ดกาแฟ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการ

เกษตรรายใหญ่ของโลก เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้า น้ำตาล

บุหรี่และใบยาสูบ แร่โลหะ ก็เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของบราซิล บราซิลเป็นประเทศ

ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ

10 ของโลก โดยเฉพาะภาคบริการมีสัดส่วนที่มากที่สุดในบราซิล



R  :  Russia   รัสเซีย   


-   มีพื้นที่  17,098,242   ตารางกิโลเมตร


-   จำนวนประชากร  142   ล้านคน


-   ศักยภาพเด่นๆ :  มีพลังงานธรรมชาติมากมายมหาศาล มีเทคโนโลยีและอาวุธ

สงครามที่สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้จำนวนมาก มีกำลังซื้อมหาศาลมีแหล่ง

ทรัพยากรก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก  มีแหล่งทรัพยากรถ่านหินใหญ่เป็นอันดับ

สองของโลก และมีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับแปดของโลกซึ่งทรัพยากร

ธรรมชาติเหล่านี้เป็นแหล่งทำเงินมากมายให้แก่รัสเซีย



I  :  India   อินเดีย  


-   มีพื้นที่  3,287,590   ตารางกิโลเมตร


-   จำนวนประชากร   1,200  ล้านคน


-   ศักยภาพเด่นๆ :   อินเดียมีอำนาจการซื้อมากเป็นอันดับที่สี่ของโลก มีผลผลิต

ทางการเกษตรเป็นอันดับสองของโลก และมี การป่าไม้ ประมง  อยู่ในอัตราส่วนที่สูง

รวมไปถึงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็วในอินเดีย

อุตสาหกรรมสิ่งทอมีการจ้างงานมากเป็นอันดับ 2 รองจากการเกษตร และมีผลผลิต

คิดเป็นร้อยละ 26 ของผลผลิตทั้งหมด



C  :  China   จีน  


-   มีพื้นที่  9,596,961   ตารางกิโลเมตร


-   จำนวนประชากร  1,300   ล้านคน


-   ศักยภาพเด่นๆ :    อุตสาหกรรมใหม่  การลงทุนและการส่งออก เศรษฐกิจใหญ่

เป็นที่สองรองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้นมีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก



S  :  South Africa   แอฟริกาใต้   


-   มีพื้นที่  1,221,037   ตารางกิโลเมตร


-   จำนวนประชากร  52   ล้านคน


-   ศักยภาพเด่นๆ :     มีระบบเศรษฐกิจแบบเสรี อุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง

มีการส่งออกเหล็ก ถ่านหิน และอัญมณีรายสำคัญของโลก แร่ธาตุรวมถึงการท่องเที่ยว

ก็เป็นรายได้หลักของประเทศอีกอย่างนึง





กลุ่มประเทศ BRICS คืออะไร




กลุ่มประเทศ BRICS คืออะไร  


กลุ่มประเทศ BRICS คืออะไร ก็คือ กลุ่มประเทศโลกใหม่ที่รวมตัวกันสัญลักษณ์แสดงถึง

การย้ายอำนาจเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มพัฒนาแล้ว มาสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

(แบบรวดเร็วด้วยนะ) คือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา BRICS เป็นขั้วอำนาจใหม่ในโลก

เศรษฐกิจ เป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพที่ดีและพัฒนาแล้วมารวมตัวกัน ตามตัวอักษร

ทั้ง 5 คือ


B  =  Brazil   บราซิล


R  =  Russia   รัสเซีย


I  =  India   อินเดีย


C  =  China   จีน


S  =  South Africa   แอฟริกาใต้


จะเห็นได้ว่าไม่มีพี่บิ๊กเบิ้ม อย่างเมกา และกลุ่มสหภาพยุโรปเลย เพราะกลุ่มนี้ต้องการ

เอาไว้ต้านทานการผูดขาดหรือ ต้านอำนาจเก่าๆของ กลุ่มเดิมรวมทั้งมีนัยยะทางการ

เมืองแฝงอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย  มีรัสเซีย ที่เราเคยเสนอไปตอนบทความเรื่อง

กลุ่มประเทศ CIS* และจีน ที่ตอนนี้ก็สถานะอึมครึมกับเมกา(อเมริกา) ทุกประเทศ

ต้องการทางเลือกเอาไว้ต่อรองงานต่างๆโดยเฉพาะการโจมตีทางด้านเศรษฐกิจ

โดยการรวมพวกที่ที่เป็นประเทศที่กําลังพัฒนาที่มีการพัฒนาและการเติบโตทาง

เศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว มาคล้องความสัมพันธ์กันไว้เพื่อเป็นการต่อรองกับพวกอำนาจ

เก่าอย่าง อเมริกา และยุโรป กลุ่มนี้อาจจะยังไม่ชัดเจนทางแนวทางและประเด็นแต่

แน่นอนเป็นกลุ่มที่ยรรดาประเทศใหญ่ๆจับกันไว้เพื่อเป็นพันธมิตรช่วยเหลือกันอย่าง

แน่นอน นอกจากความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ กลุ่ม BRICS ยังมีแผนจะพัฒนาไปสู่

การเป็นกลุ่มความร่วมมือทางการเมืองอีกด้วย (อันนี้น่าจะเป็นหลักสำคัญไม่มากก็น้อย)

ศักยภาพของกลุ่ม BRICs *

นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษนามว่า จิม โอนีล (Jim O’Neill) ได้มีบทวิจัยชื่อ

"The World Needs Better Economic BRICs"  ในปี 2544  คำว่า  BRICs จึงถูกใช้

เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการย้ายอำนาจเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มพัฒนาแล้วอย่าง G7

มาสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแค่ประชากรของจีน ก็มากกว่าประชากรทั้งอาเซียน*

รวมกันกว่า เท่าตัว 1,300 ล้านคน แล้วครับ ยังไม่รวมอินเดียอีก 1,200 ล้านคน

กลุ่มนี้ใหญ่มากๆนะครับถึงจะมีประเทศในกลุ่มรวมกันแค่ 5 ประเทศแต่มีประชากร

หลัก 3 พันล้านคนเลยทีเดียว ประมาณ 40 เปอร์เซ็นของประชากร แถมมีขนาดพื้นที่

มากกว่าหนึ่งในสี่ของแผ่นดินโลกอีกด้วย เอาง่ายๆ ขนาดพื้นที่ของแอฟริกาใต้

ประเทศเดียวเล็กสุดก็ 1.2 ล้านตารางกิโลเมตรแล้ว เทียบกับ

ประเทศที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่สุดในอาเซียน* อย่างอินโดนีเซีย คือ อินโดนีเซีย

มีพื้นที่  1,904,443 ตารางกิโลเมตร ก็เกือบเท่าแล้ว นี่ยังไม่รวม อีก 4 ที่ใหญ่ๆทั้งนั้น

เอาแค่ บราซิลประเทศที่เล็กรองสุดท้ายในกลุ่ม BRICs  มีขนาดพื้นที่ มากกว่า

อาเซียนทั้งหมดรวมกันเกือบ เท่าตัว คือ 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร ขณะที่อาเซียน

รวมกันทั้ง 10 ประเทศ มีอยู่ 4.4 ตารางกิโลเมตรคิดดูเอาละกันครับว่าทั้งหมดจะ

ใหญ่แค่ไหน





ธงฉาน คือธงอะไร




ธงฉาน คือธงอะไร

      ธงฉาน (อังกฤษ: Jack; ฝรั่งเศส: Pavillon de beaupre; เยอรมัน: Gosch; 

สเปน: Bandera de proa)


คือ ธงชาติที่จัดทำขึ้นมาใช้ บัญญัติขึ้นมาใช้เพิ่มเติมสำหรับชักที่เสาหัวเรือรบ**

และเรือประเภทอื่นๆ ซึ่งปกติธงฉานจะถูกชักขึ้นมาไว้ในช่วงที่เรือลำนั้นไม่ได้ออก

ไปทำภาระกิจหรือปฏิบัติการใดๆ มีการประดับตกแต่งให้ดูเด่นสวยงาม โดยเฉพาะ

ในงานสำคัญหรือวาระพิธีต่างๆ  แน่นอนธงฉานไม่ใช่ธงของรัฐฉานในพม่าหรือ

เมียนมาร์แน่นอน ฮ่าๆ (จะหัวเราะทำไม) 

 ในกองทัพเรือไทย ธงฉานจะใช้เป็นธงหมายเรือพระที่นั่ง และเรือหลวง เรือรบ 

ใช้สำหรับหมายเรือหลวง และใช้สำหรับหน่วยทหารเรือที่ไม่ได้รับพระราชทานธงชัย

เฉลิมพล ซึ่งธงชัยเฉลิมพล 


*ซึ่งธงชัยเฉลิมพลของกองทัพเรือมีลักษณะเช่นเดียวกับธงนี้ แต่ถูกตรึงกับด้ามไม้ 

และมีตลับบรรจุเส้นพระเจ้า (เส้นผมของพระเจ้าแผ่นดิน)  และพระพุทธรูปซึ่งเรียกว่า

พระยอดธง ติดไว้ที่ยอดคันธง   ( ไว้เป็นความรู้รอบตัวนะครับ )


ธงฉานของกองทัพเรือไทยนั้น  มีลักษณะเช่นเดียวกับ ธงชาติ คือธงไตรรงค์ แต่

ตรงกลางของผืนธงนั้นมีรูปจักรแปดแฉก แฉกของจักร เวียนไปทางซ้าย และมีสมอ

สอดวงจักร ภายใต้พระมหามงกุฎ สัญลักษณ์ทั้งหมดนี้เป็นสีเหลือง"

ตามรูป >> คลิ๊กที่นี่เพื่อดูรูป


ในภาษาไทยโบราณ คำว่าธงฉานหมายถึง ธงที่ใช้นำกระบวนกลองชนะ มีรูปแบบ

ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่ความหมายในปัจจุบันนั้น เป็นการหมายเอาถึง

ธงฉานของกองทัพเรือ ตามที่ได้มีข้อกำหนดกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติธง

พ.ศ. 2522




77 จังหวัดของไทย ภาษาอังกฤษ




77 จังหวัดของไทย ภาษาอังกฤษ


        77 จังหวัดในประเทศไทย เราเคยลงเรื่อง 77 จังหวัดของไทย*

ไปแล้วว่ามีชื่อจังหวัดอะไรบ้าง วันนี้เราก็มาดูภาษาน่ารู้กันครับว่า 77 จังหวัดของไทย

นั้นมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรกันบ้าง ลองดูกันเลย


เมืองหลวง

กรุงเทพมหานคร   :   Krung Thep Maha Nakhon (Bangkok Metropolis)


ภาคเหนือมี 9 จังหวัด 

1.จังหวัดเชียงราย   :   Chiang Rai

2.จังหวัดเชียงใหม่   :   Chiang Mai

3.จังหวัดน่าน   :   Nan

4.จังหวัดพะเยา   :   Phayao

5.จังหวัดแพร่   :   Phrae

6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน   :   Mae Hong Son

7.จังหวัดลำปาง   :   Lampang

8.จังหวัดลำพูน   :   Lamphun

9.จังหวัดอุตรดิตถ์   :   Uttaradit


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี 20 จังหวัด

1.จังหวัดกาฬสินธุ์   :   Kalasin

2.จังหวัดขอนแก่น   :   Khonkaen

3.จังหวัดชัยภูมิ   :   Chaiyaphum

4.จังหวัดนครพนม   :   Nakhonphanom

5.จังหวัดนครราชสีมา   :  NakhonRatchasima (เป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ )

6.จังหวัดบึงกาฬ   :   Buengkan

7.จังหวัดบุรีรัมย์   :   Buriram

8.จังหวัดมหาสารคาม   :   Mahasarakham

9.จังหวัดมุกดาหาร   :   Mukdahan

10.จังหวัดยโสธร   :   Yasothon

11.จังหวัดร้อยเอ็ด   :   Roiet

12.จังหวัดเลย   :   Loei

13.จังหวัดสกลนคร   :   Sakonnakhon

14.จังหวัดสุรินทร์   :   Surin

15.จังหวัดศรีสะเกษ   :   Sisaket

16.จังหวัดหนองคาย   :   Nongkhai

17.จังหวัดหนองบัวลำภู   :   Nong Bua Lam Phu

18.จังหวัดอุดรธานี   :   Udonthani

19.จังหวัดอุบลราชธานี   :   Ubonratchathani

20.จังหวัดอำนาจเจริญ   :   Amnatcharoen


ภาคกลางมี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)

1.จังหวัดกำแพงเพชร   :   Kamphaeng Phet

2.จังหวัดชัยนาท   :   Chainat

3.จังหวัดนครนายก   :   Nakhonnayok

4.จังหวัดนครปฐม   :   Nakhonpathom

5.จังหวัดนครสวรรค์   :   Nakhonsawan

6.จังหวัดนนทบุรี   :   Nonthaburi

7.จังหวัดปทุมธานี   :   Pathumthani

8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา   :   Phra Nakhon Si Ayutthaya

9.จังหวัดพิจิตร   :   Phichit

10.จังหวัดพิษณุโลก   :   Phitsanulok

11.จังหวัดเพชรบูรณ์   :   Phetchabun

12.จังหวัดลพบุรี   :   Lopburi

13.จังหวัดสมุทรปราการ   :   Samut Prakan

14.จังหวัดสมุทรสงคราม   :   Samut Songkhram

15.จังหวัดสมุทรสาคร   :   Samut Sakhon

16.จังหวัดสิงห์บุรี   :   Singburi

17.จังหวัดสุโขทัย   :   Sukhothai

18.จังหวัดสุพรรณบุรี   :   Suphanburi

19.จังหวัดสระบุรี   :   Saraburi

20.จังหวัดอ่างทอง   :   Angthong

21.จังหวัดอุทัยธานี   :   Uthai Thani


ภาคตะวันออกมี 7 จังหวัด

1.จังหวัดจันทบุรี   :   Chanthaburi

2.จังหวัดฉะเชิงเทรา   :   Chachoengsao

3.จังหวัดชลบุรี   :   Chonburi

4.จังหวัดตราด   :   Trat

5.จังหวัดปราจีนบุรี   :   Prachinburi

6.จังหวัดระยอง   :   Rayong

7.จังหวัดสระแก้ว   :   Sa Kaeo


ภาคตะวันตกมี 5 จังหวัด

1.จังหวัดกาญจนบุรี   :   Kanchanaburi

2.จังหวัดตาก   :   Tak

3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์   :   Prachuap Khiri Khan

4.จังหวัดเพชรบุรี   :   Phetchaburi

5.จังหวัดราชบุรี   :   Ratchaburi


ภาคใต้มี 14 จังหวัด

1.จังหวัดกระบี่   :   Krabi

2.จังหวัดชุมพร   :   Chumphon

3.จังหวัดตรัง   :   Trang

4.จังหวัดนครศรีธรรมราช   :   Nakhon Si Thammarat

5.จังหวัดนราธิวาส   :   Narathiwat

6.จังหวัดปัตตานี   :   Pattani

7.จังหวัดพังงา   :   Phang Nga

8.จังหวัดพัทลุง   :   Phatthalung

9.จังหวัดภูเก็ต   :   Phuket

10.จังหวัดระนอง   :   Yala

11.จังหวัดสตูล   :   Ranong

12.จังหวัดสงขลา   :   Songkhla

13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี   :   Satun

14.จังหวัดยะลา    :   Surat Thani
















คอคอดกระ




คอคอดกระ 


       คอคอดกระ หรือ กิ่วกระ เป็นส่วนที่แคบที่สุดของแหลมมลายู

(มีบทความเรื่องคาบสมุทรมลายู*ไปแล้ว)  กว้าง 66.7 กม.อยู่ในเขตบ้านทับหลี

ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง กับ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ประมาณ

กิโลเมตรที่ 545 ของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ซึ่งถ้าสามารถขุดได้จะเปรียบ

เสมือนทางลัดจากฝากฝั่งด้านตะวันออกของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ข้ามฝั่งกันได้ง่ายๆเพราะแต่เดิมนั้นต้องผ่านทาง ช่องแคบมะละกา และช่องแคบซุนดา

ทำให้การค้าตามท่าเรือที่สิงคโปร์นั้นได้เปรียบอย่างมากจากการทำท่าเรือสินค้า

ปลอดภาษี สร้างรายได้มหาศาล ซึ่งถ้าขุดคอคอดกระนั้นจะทำให้ไม่ต้องเดินเรืออ้อม

ไปปลายแหลมมลายู

คอคอดกระ




ซึ่งในสมัยก่อนนั้นปลายรัชกาลที่ 4 ฝรั่งเศสเสนอขอสัมปทาน ขุดคอคอดกระ แต่

รัฐบาลไทยไม่อนุญาตเพราะอาจมีปัญหาเกี่ยวกับด้านอำนาจอธิปไตยของไทย

(แหงละช่วงนั้นฝรั่งเศสไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง) ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีโครงการ

ที่ฝรั่งเศสต้องการเช่นกัน แถมมีเงินตอบแทนอย่างดีให้ทางไทยเรา แต่โดน

อังกฤษขัดคอเอาไว้อีก แต่ยังมีสัญญาลับๆ ว่าไทยจะไม่ยอมให้ประเทศใด

ประเทศนึง ว่าจะไม่ยอมให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามาเช่าหรือมีกรรมสิทธิ์เหนือ

ดินแดนไทยบริเวณใต้ตำบลบางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์ ลงไป ยันภาคใต้ โดยที่

อังกฤษ (ดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน*) ด้วยสัญญานี้ทำให้ไทย ต้องปฏิเสธ

ทั้งรัสเซีย และอีกหลายประเทศ จนกระทั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงหยุดไป

ญี่ปุ่นก็อยากจะมาขุด (ทำไมมีแต่ต่างชาติอยากจะขุด ฮ่าๆ) แต่เรื่องญี่ปุ่นกับไทย

ต่างก็ออกมาปัดว่าไม่มีจีจีนะ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยอยู่ในสถานะที่

อึมครึมคือ กึ่งแพ้สงคราม อังกฤษก็เตรียมเล่นเราซะเต็มที่แต่ได้ อเมริกา อเมิริโกย

ลิเก มาช่วยไว้ทำให้ไทยรอดมาได้แต่ก็ต้องสัญญากันอีกว่า ต้องยอมทำสัญญา

ไม่ขุดคอคอดกระ หากอังกฤษไม่ยินยอม (ฮั่นแหนะ)


      เพราะอะไรนะหรือที่อังกฤษต้อง ห้ามไทยกันไทยไว้คือเพราะถ้าขุดคอคอดกระ

จะกระทบต่อสิงคโปร์ อาณานิคมสำคัญของ อังกฤษเอง (อะนะ)

ต่อมาก็มีข้อเสนอเข้ามาจากหลายๆประเทศ ในหลายๆรัฐบาลเพื่อขอเข้ามาขุด

คอคอดกระ แต่ก็ต้องล้มแผนออกไปทั้งหมด ด้วยเหตุผลอะไรคงไม่อาจบอกได้ว่า

จริงๆแล้วล้มไปเพราะอะไร


    จนมาปี 2557 นี้มีข่าวที่จีนสนใจลงทุนขุดคลอง 'คอคอดกระ' จีนสนใจลงทุนขุด

คลองตัดภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อเชื่อมอ่าวไทยกับทะเลอันดามันด้วยกัน

(เหตุผลน่าจะเป็นการขยายอำนาจของจีนที่มีทางออกแค่ทางทะเลจีนใต้ ส่วนทาง

มหาสมุทรอินเดียนั้นจีนไม่สามารถทำได้) ติดทั้งอินเดียและเมียนมาร์มาดูกันว่า

คอคอดกระ แห่งนี้จะได้ขุดหรือไม่อย่างไรประการใด นั่นละฮ่ะ ทั่นผู้ชม ถถถถ+

เอาเป็นว่าถ้าขุดในยุคนี้ยังจะคุ้มอยู่อีกไหมเพราะมีทั้ง ท่าเรืน้ำลึกทวายอยู่และค่า

ดำเนินการ สภาพการ ต่อต้านว่าเป็นอย่างไร ต้องติดตามดูครับ






จิ๋นซีฮ่องเต้ (ตายเพราะอยากอมตะ)




จิ๋นซีฮ่องเต้ (ตายเพราะอยากอมตะ)



   จิ๋นซีฮ่องเต้ แห่งแคว้นฉินทุกคนคงจะพอรู้กันว่า พระองค์นั้นมีความสามารถขนาดไหน

เป็นจักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนสามารถรวบรวมแคว้นเล็กแคว้นน้อยเข้ามารวมกัน

เป็นปึกแผ่น จิ๋นซีฮ่องเต้ นั้นพระองค์ทรงผนวกดินแดนจีนสำเร็จในปีที่ 221 ก่อนคริสตกาล

และทรงสถาปนาราชวงศ์ฉินเมื่อปีที่ 220  ก่อนคริสตกาล ทำให้สิ้นสุดยุค ยุครณรัฐ

     เก่งกาจฉกาจฉกรรณ์ไหมละครับ เป็นคนริเริ่มสร้างกำแพงเมืองจีน*จนได้รับฉายา

ทรราชกันมาแล้ว และยังทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งประวัติศาสตร์จีน*

 ตำแหน่ง "หฺวังตี้" ที่แผ่นดินจีนจะมีพระเจ้าแผ่นดินหรือฮ่องเต้สืบต่อกันไปอีก นับพันปี

อย่างราชวงศ์ถัง* ราชวงศ์หมิง หรือฮั่น ชิง อะไรก็แล้วแต่

จิ๋นซีฮ่องเต้


      แต่ตามที่เราบอกนั่นแหละครับพระองค์ทรงเก่งกาจและอยากจะมีชีวติอยู่ได้นานๆ

ง่ายๆคือแสวงหาความเป็นอมตะนั่นเอง คือไม่อยากจะตาย อยากอยู่รักษาอำนาจเถลิง

ความยิ่งใหญ่ที่ตัวเองสร้างและทำต่อๆไปไม่รู้จบ ประมาณนั้น ขนาดโดนลอบสังหาร

โดนหักหลังต่างๆนานา ก็ยังไม่สามารถทำอะไร จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เลยแม้แต่น้อย


  จิ๋นซีฮ่องเต้ นั้นมีความกลัวอย่างยิ่งเรื่องนึง กลัวอะไรนั่นหรือครับกลัวตายไง

จากหนังสือที่ผมอ่านท่านเก่งและโหดเหี้ยม แลดูไม่กลัวอะไรแต่สิ่งที่หลายๆคนกลัวและ

จิ๋นซีฮ่องเต้ เองก็กลัวคือกลัวตายนั่นแหละ


จิ๋นซีฮ่องเต้ ตามหาสิ่งที่จะทำให้ตัวเองเป็นอมตะ อย่างน้ำอมฤตถึงขนาดส่งคนออก

ไปเสาะหาตามภูเขาในตำนาน ภูเขาเปงไล ที่เป็นที่อยู่ของเหล่าเซียน เชื่อว่ามียาวิเศษ

น้ำอมฤตที่ทำให้เป็นอมตะคนที่ส่งลงเรือไปหาก็ไม่กลับมาซักคนอะครับ ไม่รู้ว่าเรือแตก

จมน้ำตายกลางทาง หรือหาไม่เจอเลยไม่กลับไปดีกว่าโดนโดนตัดหัว หรือไม่รู้ว่าหาไม่

เจอแล้วไม่อยากกลับ ถือซะว่าหนีไปให้พ้นๆเสียดีมั้ยฮ่าๆ


    ด้วยความที่อยากเป็นอมตะไม่มีวันตาย อั๊วะจะเนเวอร์ดาย นะเฟ้ยจึงเป็นที่มาของ

การสวรรคตของพระองค์ซะอย่างนั้น โดนลอบฆ่าลอบสังหารกี่ครั้งก็ไม่เห็นจะทำอะไร

พระองค์ได้จะมาสิ้นพระชนม์ชีพอย่างไรกัน ก็เพราะความไม่อยากตายอยากจะเป็นอมตะ

นั่นแหละครับ ที่ทำให้พระองค์สวรรคตไป คือประมาณว่าแกให้หมอหลวงหรืออาจจะเป็น

แนวหมอผี นักเล่นแร่แปรธาตุทำนองนี้แหละปรุงยาอายุวัฒนะ (ชื่อเหมือนในหนังจีน)

ขึ้นมาแล้วพระองค์ก็ทรงเสวยเข้าไป เพราะเชื่อว่าจะต่ออายุหรือทำให้พระองค์เป็น

อมตะก็แล้วแต่กลับกลายเป็นว่าพระองค์สวรรคซะอย่างนั้นตามในหนังสือที่อ่านเขาว่า

ตอนนั้นพระองค์เสด็จประพาสหัวเมืองในวันที่ 10 กันยายน 210 ก่อนคริสตกาล

พระองค์สวรรคตเพราะ เสวยยาเม็ดปรอท (โลหะเหลว) มากเกินไปทำให้  พระองค์

ตายอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบไม่ปรึกษาใครเลย

(จากที่อยากจะอมตะ กลับตายง่ายๆซะงั้น)


หมอคนนั้คงไม่มีชีวิตรอดเหมือนกัน ตามในหนังสือบอกมาว่า คงได้ไปอยู่เป็นเพื่อน

จิ๋นซีฮ่องเต้ แน่นอนทีนี้วุ่นละครับ เสด็จประพาสหัวเมืองแต่องค์ฮ่องเต้ ผู้เป็นจักรพรรดิ

ของแผ่นดินดันขึ้นสวรรค์ไปซะแล้วจะทำยังไง อำมาตย์ที่ตามเสด็จก็แก้ปัญหากันความ

วุ่นวายเฉพาะหน้า เพื่อซ่อนปิดข่าวการสวรรคตของพระองค์ให้เป็นความลับ บ้านเมือง

จะได้ไม่วุ่นวาย เอาให้แบบว่าข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จไปด้วยก็ไม่รู้เลย


             - คือท่าน อำมาตย์ผู้นั้นจัดการซื้อปลาสดมาด้วยเอามาไว้ในขบวนเสด็จ

นั่นแหละ ให้อยู่นำหน้าและตามหลังราชรถของ จิ๋นซีฮ่องเต้แล้วปิดม่านบังราชรถกันไม่

ให้ใครเห็นพระศพที่เน่าเปื่อยเหม็นออกมา เพราะปลาสดเมื่อผ่านอากาศร้อนๆหลายวัน

เข้าก็เหม็นเน่า คละคลุ้งปะปนกับกลิ่นเน่าจากพระศพ เพื่อทำให้ไม่มีใครผิดสังเกตุ -


ท่านอำมาตย์ผู้นั้นตามหนังสือบอกก็ผลุบๆ โผล่ๆหน้าเข้าไปในราชรถของ จิ๋นซีฮ่องเต้

ที่คงทั้งเหม็นและดูไม่ได้อาจจะเน่าเปื่อย ตามอากาศและเวลา (สงสารท่านอำมาตย์จัง

คงต้องทนน่าดูเชียว) ไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียว คือผลุบเข้าผลุบออกอยู่แบบนั้นทุกวันนะ

ตามเขาว่ามาแต่ไม่รู้ว่าวันละกี่รอบ ไอหย๊าาา คือทำเหมือนไปปรึกษาฮ่องเต้ พูดคุยกัน

ตลอดเวลา 2 เดือน (แม่เจ้า 2 เดือน ผมนี่อะเหื้อเลย) น่าสงสารและนับถือน้ำใจยิ่งนัก

จิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงสวรรคตในวันที่ 10 กันยายน 210 ปีก่อนคริสตกาล













สงคราม 9 ทัพ ทั้ง 9 ทัพมีไรมาทางไหนบ้าง





สงคราม 9 ทัพ ทั้ง 9 ทัพมีไรมาทางไหนบ้าง


      เรื่องไทยรบกับพม่า*ในสมัยของพระเจ้าปดุงของพม่า ราชวงศ์คองบอง* ตรงกับ

ยุคของมหาราชกษัตริย์ของไทยอย่าง รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า

จุฬาโลก ที่พม่ายกมาตีไทย ถึง 9 ทัพ และทั้ง 9 ทัพนั้นต้องถอยทัพกลับไปแพ้ให้

แก่ไทยจะด้วยยุทธวิธีไหนเพราะอะไร เราพอจะบอกได้ว่ามันมีหลายสาเหตุที่มาจาก

พม่าและบางสาเหตุทางไทยที่ทำให้สงคราม 9 ทัพครั้งนี้จบลงด้วยการที่พม่า

ถอยทัพไป ทั้งเรื่องการส่งเสบียงการเดินทัพที่ลำบาก พม่าโดนตีตัดเสบียงอาหาร

และรวมถึงการส่งกำลังบำรุงที่ทำได้ยากเพราะไม่ได้มีการเสริมเสบียงจากในเขตไทย

เนื่องจากไทยใช้วิธีรบแบบใหม่ ต้องบอกว่าสยามแต่ไทยง่ายกว่าเรียกไทยละกัน

วิธีรบแบบใหม่นี้คือออกไปจัดการข้าศึกตั้งแต่เนิ่นที่ชายแดนไม่ยอมให้เข้ามาตั้งคู

ค่าย หรือตั้งตัวในแดนของตัวเองได้ทำให้พม่านั้นยากลำบากมากในการเดิทัพและ

โดนตอดเล็กตอดน้อยตลอดเวลา

              พระเจ้าปดุงเองนั้นหวังจะยกเอากำลังใหญ่หลวงทุ่มเข้ามาตีไทยเพื่อให้

ไม่มีทางรอดสู้ได้เลย แต่กลายเป็นจุดบอดคือ ยกมา 9 ทัพ 5 ทางมันมากเกินไป

ทำให้การส่งเสบียงบำรุงกำลังพลนั้นทำได้ยากที่จะส่งไปให้หมดทุกทิศทาง และ

การเดินเข้ามาหลายทางของพม่าทำให้เมื่อตรงไหนพลาดไปก็ทำให้อีกทัพนึงต้อง

ชะงัด มาไม่พร้อมกันไปต่อไม่ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่พม่าแพ้ในสงคราม 9 ทัพ

(ในส่วนของพม่า)  ส่วนที่พม่าแพ้ทางไทยคือ ไทยจัดกองทัพเข้าไปรองรับทางที่

พม่าจะตีดั่งจะเห็นได้จาก กองทัพที่ 2 ยังไม่ได้ทำไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ต้องกลับบ้าน

ไปแล้ว เพราะโดนตีดักจากทางยากบีบแคบ โดยไทยได้ตั้งทัพดัก ไว้ 3 ทัพ และ

อีก 1ทัพหนุน คือ


ทัพที่ 1 กรมพระราชวังหลัง มีกำลังพล 15,000 ไปคอนสกัดกั้นที่นครสวรรค์

คอยจัดการทัพจากทางเหนือคือทัพที่ 3 ของเจ้าเมืองตองอู  เพื่อช่วยเวลาที่

ทัพใหญ่สู้กันที่กาญจนบุรีกันทัพทางเหนือมาบรรจบ


ทัพที่ 2 มีกำลังพล 3 หมื่น ให้กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จขึ้นมาตั้งทัพที่เมือง

กาญจนบุรี(เก่า) คอยดักทัพหลวงของพระเจ้าปดุงเอาไว้


ทัพที่ 3 พระยาธรรมมา(บุญรอด) กับเจ้าพระยายมราช นำพล 5พัน ไปตั้งรักษา

ที่ราชบุรี รักษาทางลำเลียงของกองทัพที่ 2 ของกรมพระราชวังบวรฯและค่อยต่อสู้

ข้าศึกที่จะยกมาทางใต้หรือทางเมืองทวาย แต่ทัพนี้ประมาท ไม่ได้จัดกองลาด

ตระเวนออกไปสืบข่าวข้าศึก จึงไม่ทราบว่ามีกองทัพพม่าเข้ามาตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี

ถึง 3 ค่าย เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ) มีชัยชนะ

ที่ทุ่งลาดหญ้าแล้ว จึงมีรับสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจ่าแสนยากร

คุมกองทัพลงมาทางบก จึงทราบว่ามีกองทัพพม่าตั้งค่ายอยู่ที่นอกเขางู จึงยก

กองทัพเข้าตีค่ายพม่าจนพม่าแตกพ่ายไป และทั้ง 2 ท่านได้ยกทัพลงใต้ไปทาง

ชุมพร เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท มาถึงราชบุรีได้ทรงทราบว่าทั้ง

เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์(บุญรอด)และพระยายมราช ประมาทต่อศัตรู จึงมีรับสั่งให้

ขังเอาไว้ที่ราชบุรี รอนำกลับไปประหารที่กรุงเทพฯ (กรุงรัตนโกสินทร์ ) แต่ด้วย

พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเห็นว่า

แม่ทัพทั้งสองเคยมีความดีความชอบมาก่อน จึงมีสาสน์ตอบขอชีวิตไว้ แต่ก็

ทรงโปรดให้ลงอาญาทำโทษตามกฏพระอัยการศึก กรมพระราชวังบวรฯ จึง

ลงพระราชอาญาให้โกนศีรษะแม่ทัพทั้งสอง เป็นสามแฉก แล้วแห่ประจานรอบค่าย

ถอดยศและฐานันดรศักดิ์ นี่คือฝั่งไทย


และเหตุผลที่ว่าทำไมพม่าจึงแพ้กลับไป


คราวนี้มาดูกันครับว่าทั้ง 9 ทัพของพม่านั้น มีใครมาทางไหนทำหน้าที่อะไร จะต้อง

ไปตีที่ไหนบ้าง แล้วโดนไทยเราสวนกลับอย่างไรมาดูกัน



1. ทัพที่ 1 (ทัพที่หนึ่ง) : หมายจะลงมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ของไทยเรา

โดยกะจะตีเมืองชุมพรลงไปสงขลาโดยใช้ทัพบกและ ทัพเรือนั้นก็จะตีตามแนวชาย

ฝั่งทะเลตะวันตกจากเมืองตะกั่วป่า (อำเภอของจังหวัดพังงาในปัจจุบัน) ไล่ยาวลง

ไปถึงเมืองถลาง (ภูเก็ต) มีกำลังพลราว 1 หมื่น เรือรบอีก 15 ลำนำมาโดย

- แมงยี แมงข่องกยอ -

แต่กระทำการผิดพลาดเนื่องจากพระะเจ้าปดุงต้องการให้ทัพนี้มารวบรวมเสบียงให้

ทัพหลวงที่จะยกจากเมาะตะมะลงมาชุมพรด้วย แต่พอทัพหลวงยกลงมากลับไม่มี

เสบียงที่เพียงพอทำให้ พระเจ้าปดุงทรงพิโรธ ประหาร แมงยี แมงข่องกยอ แล้ว

ให้ - เกงหวุ่นแมงยี มหาสีหะสุระอัครมหาเสนาบดี - มาคุมทัพที่ 1แทน


   -- ผลการรบ --  ทัพนี้ยกลงมาโดยเกงหวุ่นแมงยีตีได้ เมืองกระบุรี

ระนอง ชุมพร ไชยา ส่วนทัพเรือให้ยี่หวุ่นยกไปตีเมืองถลาง เก็บได้เมืองรายทาง

อย่างตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง และข้ามเข้าไปตีเมืองถลาง เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์

สร้างวีระสตรีของเมืองถลาง เนื่องจากพระยาถลางพึ่งจะถึงแก่อนิจกรรมลงไปยังไม่มี

ผู้ใดขึ้นรักษาเมืองถลาง คุณหญิงจันทร์ ภรรยาของพระยาถลาง และคุณหญิงมุก

น้องสาวของคุณหญิงจันทร์ ช่วยกันรวบรวมไพร่พลรักษาเมืองถลางเอาไว้อย่าง

เข้มแข็งกว่า 1 เดือนพม่าไม่สามารถตีหักเข้ามาเอาเมืองถลางได้จึงต้องเลิกทัพ

กลับพม่าไป ส่วนทางบกที่เกงหมุ่นแมงยียกลงไปถึงนครศรีธรรมราชนั้น ลงล่วงเข้า

ไปจะตีพัทลุงและสงขลาด้วย เจ้าเมืองพัทลุงพระยาแก้วโกรพดูท่าไม่สามารถจะสู้

ได้จึงหนีไปพร้อมพรรคพวก แต่มีพระภิกษุรูปนึงเป้นที่เคารพ เลื่อมใสของชาวบ้าน

มีคาถาอาคม ได้ทำของขลัง อย่างตระกรุด ผ้าประเจียด แจกจ่ายให้ชาวบ้าน

ที่มารวมพลกันเพื่อต่อสู้พม่านับพัน รบกันที่ไชยา พม่ายังไม่ทันได้ตั้งค่ายพักฝ่าย

ชาวบ้านก็ตั้งกำลังล้อมพม่าไว้ (เป็นทัพหน้าของเกงหวุ่นแมงยีอีกที) ฝ่ายไทยนำ

ทัพเข้าตะลุมบอนพม่าแตกหนีไป ทางเกงหวุ่นแมงยีรู้ว่าทัพหน้าของตนแตกพ่าย

มา ก็รีบยกพลหนีกลับพม่าไป



2. กองทัพที่ 2 (ทัพที่สอง) : ทัพที่ 2 นี้จะลงมาตีหัวเมืองไทยใน

ฝั่งตะวันตก อย่าง ราชบุรี เพชรบุรี และจะลงไปบรรจบกับกองทัพที่ 1 ที่เมืองชุมพร

ยกมามีกำลังพล 1 หมื่น เดินทางเข้ามาทางด่านบ้องตี้ นำโดย

- แม่ทัพอนอกแฝกคิดหวุ่น -


   -- ผลการรบ --  ทัพนี้รวมกันที่ทวาย แล้วยกมาตีที่ด่านบ้องตี้ซึ่งเป็น

ทางภูเขายากลำบากทุรกันดาลมาก ได้เข้าสู้รบกับฝ่ายไทยและแตกพ่ายไปตาม

ระเบียบ



3. กองทัพที่ 3 (ทัพที่สาม) : ทัพที่ 3 นี้ยกมาจากเมืองเชียงแสน

นำโดย เจ้าเมืองตองอู หวุ่นคยีสะโดะศีรีมหาอุจจะนะ ยกกำลังพลมา 3 หมื่น

เข้ามาทางเมืองเชียงแสนหมายจะลงมาตีนครลำปางและหัวเมืองแถวแม่น้ำแควใหญ่

และลำน้ำยม เรียงมาตั้งแต่ สวรรคโลก (อำเภอของจังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) ลงมา

สุโขทัยเพื่อจะให้เข้ามารวมบรรจบพอกับกองทัพหลวงที่กรุงเทพฯ


   -- ผลการรบ --  ทัพนี้ยกพ่านเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองร้างล่วงเข้าไปเขต

ลำปาง หมายจะตีเข้าลำปางแต่พระยากาวิละ รักษาเมืองอย่างงเข้มแข็ง จึงสามารถ

รักษาเมืองเอาไว้ได้แต่หัวเมืองอื่นทางเหนือรวมถึง สวรรคโลกนั้นไม่สามารถต้านทัพ

ของพม่าได้แตกพ่ายเสียหมด พม่าจึงตีกวาดเข้ามาได้ถึงพิษณุโลก ทัพนี้ยกลงเข้า

ไทยได้ มาเจอกับทัพของไทยที่สกัดอยู่ เนมะโยสีหปติ แม่ทัพฝ่ายพม่าจึงตั้งค่ายอยู่

ที่ปากพิง พิษณุโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จยกทัพหลวง

3 หมื่น ไปประทับที่เมืองอินบุรี แล้วมีรับสั่งให้ กรมพระราชวังหลังยหทัพตามเข้ามา

สมทบกับพระมหาเสนา เพื่อเข้าตีค่ายพม่าที่ปากพิง ไทยเข้าตีพม่าที่ปากพิงตั้งแต่

เช้าจรดเย็นล่วงไปถึงค่ำก็สามารถตีทัพพม่าที่ปากพิงแตกหมดทุกค่าย ศพพม่าลอย

เกลื่อนแม่น้ำลำคลองเพราะหนีตายไปทางน้ำแต่โดนไทยตามฆ่า นอนลอยเกือบพันศพ

จนน้ำในแม่น้ำลำคลองไม่สามารถนำมาดื่มกินได้


        ฝ่ายกองทัพเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฏา ยกมาถึงนครลำปางเห็นทัพพม่าของ

เจ้าเมืองตองอูล้อม อยู่จึงเข้าตีค่ายพม่า ฝ่ายพระยากาวิละเจ้าเมืองนครลำปางเห็นดังนั้น

จึงยกทัพออกมาตีกระหนาบพม่าอีกทาง ทำให้ทัพเจ้าเมืองตองอูแตกพ่ายหนีกลับเข้า

เชียงแสนไป หมดสิ้น



4. กองทัพที่ 4 (ทัพที่สี่) : ทัพที่ 4 นี้มีกำลังพลประมาณ 1หมื่นนิดๆ

(11,000 คน) ให้ เมียนหวุ่นแมงยีมหาทิมข่อง เป็นทัพหน้าเพื่อจะเข้ามาตีกรุงเทพฯ

โดยยกกองทัพลงมาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ เพื่อจะเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์


   -- ผลการรบ --  ยกเข้ามาทางเมืองไทรโยค ด่านกรามช้าง มาหยุดอยู่

ที่ชายทุ่งลาดหญ้าตั้งค่ายรอ และทัพที่ 5 ของเมียนเมหวุ่นก็ยกเข้ามาหยุดพร้อมกัน

เจอกับทัพของ กรมพระราชวังบวรฯ ทั้ง 2 ทัพสู้กันด้วยปืนใหญ่ ต่อมาพม่าได้หลง

อุบายกรมพระราชวงบวรฯ ด้วยพระองค์ให้ทหารออกจากค่ายในเวลากลางคืนและ

เข้ามาเมื่อตอนเช้าถือธงทิวเข้ามา พม่าอยู่ที่สูงเห้นเหมือนไทยกำลังเสริมกำลัง

อย่างหนักอยู่เรื่อยๆตลอด ลดทอดกำลังใจทัพหม่าลง เมื่อถึงจังหวะเหมาะมือทัพไทย

จึงเข้าตีพม่า พม่าทั้งกองทัพที่ 4 และ 5 แตกพ่ายเตลิดไปหมด



5. กองทัพที่ 5 (ทัพที่ห้า) : ทัพที่ 5 นี้มีเพียง 5 พันนำโดย

เมียนเมหวุ่น   มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะเพื่อเป็นกองหนุนให้ทัพหน้า (ทัพที่ 4)


   -- ผลการรบ --  สมรภูมิเดียวกับกองทัพที่ 4 ของพม่าโดนทัพของกรม

พระราชวังบวรฯตีแตกไปพร้อมกัน ทัพหน้าของพระเจ้าปดุงที่ง 4 และ 5 แตกพ่ายหมด



6. กองทัพที่ 6 (ทัพที่หก) : ทัพนี้ให้ราชบุตรที่ 2 ตะแคงกามะ 

(ศิริธรรมราชา) เป็นแม่ทัพนำกำลังพล 12,000 มาตั้งคอยที่เมาะตามะเป็นทัพหน้าที่ 1

ของกองทัพหลวงจะยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์เพื่อเข้าตีกรุงเทพฯ


   -- ผลการรบ --  อยู่ในส่วนทัพหน้าของพระเจ้าปดุง เมื่อทัพหน้าที่ 4 และ

5 โดนตีแตก และขัดสนในเสบียงอาหารพระเจ้าปดุงจึงสั่งเลิกทัพกลับพม่า



7. กองทัพที่ 7 (ทัพที่เจ็ด) : ทัพที่ 7 ให้ราชบุตรที่ 3 ตะแคงจักกุ 

(สะโดะมันซอ) นำทัพเป็นแม่ทัพยกพลมา 11,000 มาตั้งทัพที่เมาะตะมะเช่นกันเพื่อ

เป็นทัพหน้าที่ 2 ของกองทัพหลวง


   -- ผลการรบ --  อยู่ในส่วนทัพหน้าของพระเจ้าปดุง เมื่อทัพหน้าที่ 4 และ 5

โดนตีแตก และขัดสนในเสบียงอาหารพระเจ้าปดุงจึงสั่งเลิกทัพกลับพม่า



8. กองทัพที่ 8 (ทัพที่แปด) : ทัพหลวง ของพระเจ้าปดุงเป็นจอมพล

ยกมาเอง เสด็จลงมาตั้งทัพที่เมืองเมาะตะมะ โดยยกกำลังพลมาทั้งสิ้น 5 หมื่น


   -- ผลการรบ --  เมื่อทัพหน้าของพระองค์ ทั้งทัพที่ 4 และ 5 นำโดย

เมียนหวุ่นแมงยีมหาทิมข่อง และ เมียนเมหวุ่นแตกพ่าย ประกอบกับเสบียงอาหาร

เริ่มขัดสนจากการเตรียมทัพที่ไม่พร้อมและมาหลายทางเกินทำให้พนะองค์ตัดสินใจ

ยกทัพกลับพม่า



9. กองทัพที่ 9 (ทัพที่เก้า) : ทัพที่ 9 ถือกำลังพล 5 พัน นำมาโดย

จอข่องนรทา  เข้ามาทางด่านแม่ละเมา แขวงเมืองตาก เพื่อให้เข้ามาตีหัวเมือง

เหนือไล่ตั้งแต่เมืองตาก กำแพงเพชร และลงมาบรรจบกับทัพหลวงของพระเจ้าปดุง

ที่กรุงเทพฯ


   -- ผลการรบ --  ทัพนี้แม้มาน้อยยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเข้าตีเมือง

ตากเมืองตากยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีไม่สู้ด้วย พม่าจึงนำทัพไปตั้งที่บ้านระแหง แต่

หลังจากทราบข่าวว่ากองทัพพม่าที่ปากพิงแตกพ่ายหมดก็ถอนทัพกลับไปทางด่าน

แม่ละเมา


ครบถ้วนทั้ง 9 ทัพที่ยกมาและผลการรบที่พม่ารบกับไทย ในประวัติศาสตร์ทั้งไทย 

แลพม่ากันเลยครับ วันหน้าถ้ามีบทความหรือข้อมูลอะไรใหม่ๆ ความรู้รอบตัว หรือ

เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จะมาอัพเดทกันอีกจ้า






การหาไอเดียเขียนบทความแบบไร้ขีดจำกัด




การหาไอเดียเขียนบทความแบบไร้ขีดจำกัด



            แนวทางการหาไอเดียเขียนบทความแบบไร้ขีดจำกัด ผมว่าเพื่อนๆที่

ต้องการเขียนบทความลงบล็อกเว็บหรือโลกโซเชี่ยลนั้น เวลาเขียนหลายๆเรื่องแล้ว

มันออกแนวตื้อๆมึนๆไม่รู้จะเขียนอะไรอีกใช่ไหมครับไอเดียหมด ไม่รู้จะเขียนอะไรดี

วันนี้เรามี แนวทางการหาไอเดียในการเขียนบท   ความมาให้เพื่อนๆได้เอาไป

ลองใช้ดูครับ

การหาไอเดียเขียนบทความแบบไร้ขีดจำกัด


1. ดูทีวี : ดูหนังเรื่อง NCIS ก็อยากรู้ตัวย่อพาลไปหาตัวย่อหน่วยงานอื่นอีกเห็นมะ

ได้ละบทความรวมชื่อตัวย่อหน่วยงานเท่ๆ จัดไป



2. Google Guru : เป็นที่ถามคำถามมากมายใครสงสัยอะไรก็ไปถามมีคนมาตอบ

เราเอาคำถามนั้นแหละมาหาคำตอบและเขียนเป็นบทความเชื่อเหอะไอคนที่สงสัย

เรื่องแต่ละเรื่องอะ มันไม่ได้มีคนเดียวหรอกใน จำนวนคนเล่นเน็ตเป็นล้านคนอะ

ยังไงซะก็มีคนอ่านอยู่ที่ว่าจะอยู่ในหน้าที่เท่าไหร่ในการค้นหา ฮ่าๆ



3. พันทิป : เว็บ Pantip ศูนย์รวมเรื่องราว ร้อยพ่อพันแม่ ทุกอย่างครบวงจร ที่คุณ

อยากรู้เข้าไปดูแล้วหาประเด็นมาเล่นซะ



4. หนังสือ : หาประเด็นในหนังสือมาเขียนเอาก็ได้ว่ามีอะไรที่เราพอจะเอามาเขียน

บทความให้ผู้อ่านได้รับความรู้ สาระ ความรู้รอบตัว* ไปบ้าง



5. ก่อนนอน : ก่อนนอนสำหรับผม เรื่องต่างๆมันจะผุดขึ้นมาแบบดอกเห็ด ไม่รู้จะ

มาทำไม เลยไม่ได้นอนซะที 555+


6. จินตนาการ : สำคัญกว่าความรู้ หราาา บางคนก็ไม่ต่างจากการเพ้อเจ้อ ถ้าอยู่ใน

ขอบเขตที่พอดีก็น่าสนใจจ้า



7. การตั้งคำถาม : เช่น ถ้าตอนนั้นไม่มีขบวนการเสรีไทย ประเทศไทยจะเป็นยังไง

ในสงครามโลก หรือถ้าตอนนั้นซัวเรสไปกัดคนอื่นในสนามบอล ตอนนี้เขาจะยังอยู่ที่

ลิเวอร์พูลหรือไม่
ร่ายมันออกมาครับ ร่ายตามความเข้าใจและคำถามของเรา



8. เน็ตไอดอล : เน็ตไอดอลดีอย่างไร *  นี่แหละคำตอบคือเขามักมีเรื่องให้เรานำไป

เขียนได้อย่างแชร์กระทู้น่าสนใจมาให้แฟนคลับอ่าน ต่างๆนานา สร้างดราม่า บีบน้ำตา

 ตบกันหรือนำเรื่องราวดีๆมาให้ก็เหมือนเรามีเพื่อนในโลกออนไลน์ คนพวกนี้บางทีก็เอา

เรื่องราวต่างๆจากที่อื่นมาแชร์เราก็แค่หยิบเรื่องนั้นมาหาประเด็นที่น่าสนใจไปเขียนครับ



9. มนุษย์ป้า : เรื่องราวของมนุาย์ป้าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจหยิบมาเขียนได้อย่างไม่

รู้จบเชื่อผม



10. บทสนทนาโต๊ะข้างๆเวลาไปกินข้าว : ตามนั้นจ่ะ



11. งานที่ทำ : ทำงานเชื่อมเหล็ก ทำไมต้องไปเขียนเรื่องการต่อท่อประปาเล่า ในเมื่อ

องค์ความรู้เรามีเต็มเปี่ยมในด้านการเชื่อมเหล็ก เขียนไปเลยเกี่ยวกับเรื่องที่เราทำเป็น

งาน รับรองรุ่ง



12. กระแสสังคม : ตามนั้นครับอะไรที่กำลังเป็นกระแสเป็นที่พูดถึง มาไวไปไวนะ

ถ้าจะเขียนอะ



13. สิ่งที่ชอบ : ชอบเล่นเกมก็เขียนเรื่องเกม ชอบดาราก็เขียนเรื่องดารา ชอบ

ประวัติศาสตร์ก็เขียนประวัติศาสตร์ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบรับรองว่าไม่มีตันแน่นอน



14. สิ่งที่กำลังศึกษา : กำลังศึกษาอย่างเช่นประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เกี่ยวกับเรื่องของ

โอโอขุ และ เรื่องของ ไดเมียวและโชกุน* ก็เอาสิ่งที่ศึกษามาเขียนลงไปเลยง่าย

จะตาย



15. สิ่งที่เราสงสัย : สงสัยอยากรู้เรื่องอะไรก็ทำเรื่องนั้น จบปึ้ง



16. การสังเกตุสิ่งรอบข้าง : คำถามและคำตอบอยู่รอบตัวเราจงหาคำถามและหา

คำตอบออกมาเป็นบทความ



17. ความเพ้อเจ้อ : บางครั้งเราต้องเพ้อเจ้อและกล้าที่จะเขียนมันออกมาบ้างนะ

ครับ 55+


18. สิ่งที่คนถกเถียงกัน : ตามกระทู้ที่เถียงกันหลายๆเรื่อง เช่น เรื่องการเล่นหุ้น

การหารายได้จากเกมส์* แฟนบอลตีกัน บลาๆๆ



19. ความผิดพลาดของตัวเอง : เอาสิ่งที่เราเคยพลาดหรือเคยเขช้าใจผิดมาเขียน

ใหม่เป็นเหมือนการท่องจำผ่านการเขียนลงไปด้วยพิมพ์ให้คุ้นเคยจะได้ไม่พลาดอีก



20. ทุกที่ : จะบอกคือหาได้ทุกที่ที่เราต้องการเพียงแค่เราเป็นคนช่างสังเกตุกับ

เรื่องราวต่างๆ หาประเด็นของมัน จับจุดของมันได้ผมคิดว่าเราก็จะสามารถหา

ไอเดียในการเขียนบทความได้เช่นกัน



การหาไอเดียเขียนบทความแบบไร้ขีดจำกัด มีอยู่รอบตัวเราอยู่ที่เราจะจับประเด็น

อะไรมาเล่นเท่านั้น










A.D , C.E , B.E และ B.C คืออะไร ย่อมากจากอะไร




A.D , C.E , B.E และ B.C คืออะไร ย่อมากจากอะไร


   เคยเจอใช่ไหมครับเวลาค้นหาข้อมูลเราจะเจอตัวย่อที่เกี่ยวกับปีอะไรทำนองนี้โดย

เฉพาะในภาษาอังกฤษ เวลาค้นหาข้อมูลโดยเฉพาะในวิกิ ภาษาอังกฤษนี่เจอบ่อยมาก

ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ซะมาก อย่างเช่น อ่านเรื่องของราชวงศ์หมิง*

ราชวงศ์ถัง หรืออาณาจักรไบเซนไทน์* เวลาเอามาเปรียบเทียบกับเนื้อหาของไทยนั่น

เพื่อความถูกต้องเราก็เอามาดูกันทั้ง 2 ภาษาบางทีตัวย่อพวกนี้ก็ทำให้งง วันนี้เราจะ

มาดูว่ามันย่อมาจากอะไรและหมายความว่าอย่างไร เอาแบบง่ายๆครับไม่ยืดยาว

(เพราะขี้เกียจ) ฮ่าๆๆล้อเล่น



A.D. ย่อมาจากคำว่า anno Domini ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลว่า in the year of 

our Lord หรือ in the year of Christian era since the birth of Christ  / Nostri

Iesu Christi ซึ่งแปลคำต่อคำได้ว่า ปีของพระผู้เป็นเจ้าเยซู คริสต์ หรือ ปีที่พระเยซู

คริสต์ได้ประสูติขึ้นมา สั้นๆเลยคือ คริสต์ศักราช นั่นเอง ปีนี้ก็ ปี 2014 A.D



B.C. ย่อมาจากคำว่า Before Christ // Before (the birth of) Christ ซึ่งแปลว่า

ก่อนพระเยซูจะประสูติ เช่นกำแพงเมืองจีน*ถูกสร้างโดยราชวงศ์จิ้นในราวๆ 206 B.C.

หรือ 206 ปีก่อนคริสตศักราช คือ 206 ปีก่อนพระเยซูจะประสูติ สั้นๆเลยคือ ก่อน

คริสตกาล นั่นเอง



C.E. ย่อมาจากคำว่า Christian Era แปลว่าศักราชของชาวคริสต์ คือความหมาย

เดียวกับ A.D. นั่นแหละครับ



B.E. ย่อมาจากคำว่า Buddhist Era ศักราชของชาวพุทธ หรือพุทธศักราช นั่นเอง

จะนับจากการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ไทยเราก็ใช้พุทธศักราชหวังว่าเพื่อนๆ

ผู้อ่านทุกท่านจะเป็นประโยชน์กับความรู้รอบตัว*ที่เรานำเสนอไปนะครับ


* ถ้าอยากจะหักลบกันระหว่าง พทธศักราชกับคริสตศักราช พระพุทธเจ้านั้นทรงเสด็จ

ปรินิพพานก่อนพระเยซูประสูติ 543 ปี ก็เอาพุทธศักราชปีนั้น ลบกับ 543 ก็จะได้ปี

คริสตศักราชนะครับผม เช่น ปีนี้ 2557 เราก็เอา 2557 - 543 = 2014 พอดีเลยครับ

จำง่ายๆครับ 5 4 3 ไม่ซับซ้อน










ราศีภาษาอังกฤษ (Zodiac)




ราศีภาษาอังกฤษ (Zodiac)


  Zodiac หรือจักรราศี ภาษาอังกฤาวันนี้เราจะมาดูกันว่า ราศีต่างๆหรือราศีเกิด

ของเรานั้นมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่าอย่างไรกัน  หลังจากที่เราได้เคยนำเสนอ

เดือนและตัวย่อในภาษาอังกฤษ* ไปแล้ว วันในภาษาอังกฤษ*ก็ไปแล้ว

ทิศในภาษาอังกฤษ* ก็ไปแบ้วเอ้ยแล้ว วันนี้เราเลยจะมานำเสนอราศีในภาษา

อังกฤษดูว่า มีชื่อเรียกว่าอย่างไรกันบ้าง ทั้ง 12 ราศี


ราศี (Zodiac)


1. Aries ( แอรีส ) : ราศีเมษ  มีสัญลักษณ์เป็น แกะ


2. Taurus ( ทัวอัส ) : ราศีพฤษภ  มีสัญลักษณ์เป็น วัว


3. Gemini ( เจเมนี่ ) : ราศีเมถุน  มีสัญลักษณ์เป็น คนคู่


4. Cancer ( แคนเซอร์ ) : ราศีกรกฎ  มีสัญลักษณ์เป็น ปู


5. Leo ( ลีโอ ) : ราศีสิงห์  มีสัญลักษณ์เป็น สิงโต


6. Virgo ( เวอร์โก้ ) : ราศีกันย์  มีสัญลักษณ์เป็น หญิงสาว


7. Libra ( ลิบร้า ) : ราศีตุล  มีสัญลักษณ์เป็น คันชั่ง


8. Scorpio ( สคอร'พิโอ ) : ราศีพิจิก  มีสัญลักษณ์เป็น แมงป่อง


9. Sagittarius ( ซาจิสแทเรียส ) : ราศีธนู  มีสัญลักษณ์เป็น คนยิงธนู


10. Capricorn ( แคปปิคอน ) : ราศีมังกร  มีสัญลักษณ์เป็น แพะทะเล


11. Aquarius ( อควาเรียส ) : ราศีกุมภ์  มีสัญลักษณ์เป็น ผู้ชายถือคนโทน้ำ


12. Pisces ( ไพซ์ซีส ) : ราศีมีน  มีสัญลักษณ์เป็น ปลา


หลายๆท่านคงชอบการดูดวงชะตาตามราศีกันนะครับรู้ว่าตัวเองราศีอะไรแบบไหน

แต่อย่าไปงมงายกันเน้อ เอาความรู้มาฝากจ้า