ต้มไข่กี่นาทีสุก และ ต้มไข่กี่นาทีเป็นยางมะตูม




ต้มไข่กี่นาที ต้มไข่กี่นาทีเป็นยางมะตูม


   เรื่องของไข่ต้ม วันนี้ถือว่าเอามาเป็นเรื่องความรู้รอบตัวกันนิดหน่อยเอาไว้เวลา

ต้มไข่กินกันครับผม


ต้มไข่กี่นาทีสุก 

= โดยหลักแล้วการต้มไข่จะอยู่ใน ระยะเวลาประมาณ 8 - 10 นาทีในน้ำเดือด ( ข้อควรระวัง 

อย่าเปิดไฟแรง และค่อยๆใส่ไข่ลงเอาช้าๆ ) เพราะทั้งไฟที่แรง และการหย่อนไข่ลงไปแรงๆ

จะทำให้ไข่ปริแตกละเลอะเทอะไม่น่ากิน มาดูกันดีกว่าว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำไข่

แต่ละประเภท


ไข่เหลว (ลาวา) แบบที่ไม่สุกทั้งไข่แดงขาวยังเหลวๆ อยู่ ใช้เวลา 2 นาที

ในน้ำเดือด


ไข่ลวก ใช้เวลาในน้ำเดือดประมาณ 3-4 นาที ก็จะได้ไข่ลวกไว้กินอร่อยๆ


ไข่มะตูม  จัดไปเลย ต้มอยู่ในน้ำเดือดประมาณ  5-6 นาที ถ้าเกินนั้นมานิดนึง

ไข่แดงจะเริ่มสุก ถ้าไม่เกิน 8 นาทีก็ยังพอเรียกไข่มะตูมได้ แต่ก็ใกล้จะสุกเกินไป

แล้วแหละ


ไข่ต้มสุก เริ่มจาก 8 นาทีขึ้นไปจนถึง 10 นาที ตามนั้นจ่ะ


และข้อควรระวังในการต้มไข่คือ อย่าใส่ลงไปแรง และอย่าเปิดไฟต้มแรงเกินไป

พอน้ำเริ่มเดือดก็ใส่ไข่ลงไปได้เลย หรือท่านใดที่จะใส่ลงไปตอนตั้งหม้อต้มเลยก็

+ เพิ่มไป อีก 1-2 นาทีทุกกระบวนการจ้า


บางคนใช้วิธี ต้มไข่ใน้ำเดือด 8 นาที แล้วรีบยก ขึ้นมาน็อคในน้ำเย็นจะได้ไข่มะตูม

แสนสวย ยังไงก็ลองทำกันดูนะครับ


เคล็ด ตอนใส่ไข่ลงไปแรกๆ ให้คน วนเบาๆซักพัก เพื่อให้ไข่แดงอยู่ตรงกลาง

อะยังไงแบบไหนลองดูครับ





วันเกิด ครองราชย์ สวรรคต ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิง




วันเกิด ครองราชย์ สวรรคต ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิง

วันเกิด ครองราชย์ สวรรคต ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิง (อยากรู้ชื่อเดือนภาษาอังกฤษ ตามไปที่

>> เดือนภาษาอังกฤษ )

มีเดือนกุมภาพันธ์ และตุลาคมเยอะมาก

ไม่ได้ไปเน้นที่รายะเอียดยิบย่อย ซึ่งนาน อ้อบอกก่อนตามข้อมูล ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิง*

มีทั้งหมด 12 พระองค์นะครับ จัดไป


1. จักรพรรดินู่เอ๋อร์ฮาชื่อ : 

พระราชสมภพ 21 กุมภาพันธ์ 1559 / ครองราชย์ 17กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1616 /

สวรรคต 30 กันยายน ค.ศ.1626


2. จักรพรรดิไท่จง : 

พระราชสมภพ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1592  / ครองราชย์ 1626  /

สวรรคต  21 กันยายน ค.ศ. 1643


3. จักรพรรดิซุ่นจื้อ : 

พระราชสมภพ 15 มีนาคม ค.ศ. 1638   / ครองราชย์  ตุลาคม 1643 /

สวรรคต   5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1661


4. จักรพรรดิคังซี : 

พระราชสมภพ  4 พฤษภาคม ค.ศ. 1654  / ครองราชย์  18 กุมภาพันธ์ 1661  /

สวรรคต    20 ธันวาคม ค.ศ. 1722


5. จักรพรรดิยงเจิ้ง : 

พระราชสมภพ  13 ธันวาคม ค.ศ. 1678  / ครองราชย์  27 ธันวาคม 1722  /

สวรรคต 8 ตุลาคม ค.ศ. 1735


6. จักรพรรดิเฉียนหลง : 

พระราชสมภพ  25 กันยายน ค.ศ. 1711  / ครองราชย์ 8 ตุลาคม 1735   /

สวรรคต 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1799


7. จักรพรรดิเจียชิ่ง : 

พระราชสมภพ  13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1760  / ครองราชย์ 9 กุมภาพันธ์ 1796  /

สวรรคต 2 กันยายน ค.ศ. 1820


8. จักรพรรดิเต้ากวง : 

พระราชสมภพ  16 กันยายน ค.ศ.1782  / ครองราชย์  3 ตุลาคม 1820  /

สวรรคต  25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1850


9. จักรพรรดิเสียนเฟิง : 

พระราชสมภพ  17 กรกฎาคม 1831  / ครองราชย์  9 มีนาคม 1850  /

สวรรคต  22 สิงหาคม 1861


10. จักรพรรดิถงจื้อ : 

พระราชสมภพ  27 เมษายน พ.ศ. 2399 (ค.ศ. 1856)  / ครองราชย์  11 พฤศจิกายน 1861  /

สวรรคต 12 มกราคม พ.ศ. 2418 (ค.ศ. 1875)


11. จักรพรรดิกวังซวี่ : 

พระราชสมภพ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871)   / ครองราชย์  25 กุมภาพันธ์ 1875  /

สวรรคต 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908)


12. จักรพรรดิผู่อี๋ : 

พระราชสมภพ  7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449(ค.ศ.1906)  / ครองราชย์  2 ธันวาคม พ.ศ. 2451  /

สวรรคต  17 ตุลาคม พ.ศ. 2510(ค.ศ.1967)





รายพระนาม (ชื่อ) ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิง




รายพระนาม (ชื่อ) ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิง

   ราชวงศ์ชิง ราชวงศ์สุดท้ายของจีน เป็นยุคต่อมาจากราชวงศ์หมิงที่เข้ามายึกครองจีน

จากเหตุการณ์ที่มีกบฏเกิดขึ้นนำโดยหลี่จื้อเฉิงและ นำมาซึ่งการเปิดด่านของ อู๋ซานกุ้ย*

จนสามารรถเข้ามายึดครองเมืองหลวงปักกิ่งของหมิง ได้ รัฐแมนจูสถาปนาโดย

นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ซึ่งเริ่มแรก เป็นขุนนางของราชวงศ์หมิง ครองที่ดินทางตะวันออกเฉียงเหนือ

หรือมณฑลแมนจูเรียในปัจจุบัน นู่เอ๋อร์ฮาชื่อตั้งตนเป็น จักรพรรดิไท่จู่  และตั้งรัฐแมนจู

ขึ้นใน พ.ศ. 2152 ซึ่งแน่นอน ราชวงศ์ชิง หรือ แมนจูนั้นไม่ได้ก่อตั้งโดยชาวฮั่นซึ่งเป็น

ชนส่วนใหญ่ของจีนแต่เป็นชาวแมนจูซึ่งอาศัยอยู่ในเขตแมนจูเรีย ทางตะวันออกเฉียง

เหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบัน โดยชาวแมนจูในสมัยนั้นเป็นเพียงชน

เร่ร่อนเท่านั้น


      จักรพรรดิราชวงศ์ทรงอยู่ในราชสกุล อ้ายซินเจว๋หลัว ( อ้าย ซิน เจี๋ย หลอ )

เอาแบบอ่านง่ายๆ แบบในหนังพากย์ไทยแต่ถ้าอ่านให้ถูกต้องนอกวงเล็บ

รายพระนาม (ชื่อ) ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิง ฮ่องเต้ ราชวงศ์หมิงมีทั้งสิน 12 พระองค์

(ไม่นับรวมซูสีไทเฮาและตัวเอ่อกุ่นที่คอยเชิด ฮ่องเต้ในยุคหลัง )


1. สมเด็จพระจักรพรรดิชิงไท่จู่ : Nurhaci นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ชิง


2. จักรพรรดิไท่จง : Hong Taiji หวงไท่จี๋ เป็นพระเจ้าแผ่นดินจีนในราชวงศ์ชิง ซึ่ง

รวมแผ่นดินจีนที่นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ


***** ตัวเอ่อร์กุ่น : Dorgon พระราชโอรสองค์ที่14ของจักรพรรดินู่เอ๋อร์ฮาชื่อ เป็น

ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในจักรพรรดิซุ่นจื้อโดยในช่วงต้นรัชกาลได้สถาปนาตนเองเป็น

จักรพรรดิอี้  แต่ถูกถอดจากตำแหน่งในปีค.ศ.1651หลังการสิ้นพระชนม์


3. จักรพรรดิซุ่นจื้อ : Shunzhi Emperor ในบางครั้งจะนับพระองค์เป็น ปฐมจักรพรรดิ

ของราชวงศ์ชิง ด้วยทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ได้ประทับในพระราชวังต้องห้ามที่

กรุงปักกิ่ง และราชวงศ์หมิงถึงกาลสิ้นสุดอย่างแท้จริง สวรรคตไปด้วยพระชนมายุเพียง

24 พรรษา


4. จักรพรรดิคังซี : Kangxi Emperor ครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุเพียง 8 พรรษา

เพราะพระบิดาสวรรคตเร็วเกินไปทรงออกว่าราชการเองเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา

 เป็นในช่วงที่หนังจีนชอบเอาเรื่องในยุคพรองค์มาทำหนังกันหลากหลายรูปแบบ อย่าง

อุ้ยเสี่ยวป้อและปู้ปู้จิงซิน เป็นต้น


5. จักรพรรดิยงเจิ้ง : Yongzheng Emperor  เล่ากันว่า พระองค์ร่วมวางแผนกับหลงเคอตัว

ปลอมแปลงลายพระหัตถ์ของจักรพรรดิคังซีจากคำว่าองค์ชาย 14 ให้เป็นองค์ชาย 4 คือ

พระองค์เอง ในการสืบทอดราชบัลลังค์ ซึ่งมาจาก ความวุ่นวายในการแย่งชิงราชสมบัติ

กันเองระหว่างพี่น้อง ปลายรัชสมัยจักรพรรดิคังซี ซึ่งเป้นเพียงความเชื่อเพราะได้มีการพิสูจน์

และตั้งข้อสังเกตุแล้วว่า พระองค์ไม่ได้ปลอมแปลงเนื่องจากต้องเขียนกำกับไว้ในทั้ง ฉบับที่

เป็นตัวอักษรฮั่นและ ฉบับอักษรแมนจู ซึ่งแก้ไขไม่ได้ แต่พระองค์ก็ยังได้รับฉายาว่า

"จักรพรรดิบัลลังก์เลือด" หรือ "จักรพรรดิทรราช" อยู่ดี ทั้งๆที่เป็นคนทำให้บ้านเมืองกลับมา

มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะพระองค์ทรงจัดการค่าใช้จ่ายการเงินและการทุจริตออกไป

เป็นคนที่ละเอียดเรื่องเงินและประหยัดมาก ทำให้สมัยต่อมาจักรพรรดิเฉียนหลงมีเงินเอา

ไว้ทำสงครามมากมาย (เป็นการล้อ)


6. จักรพรรดิเฉียนหลง : Qianlong Emperor จักรพรรดิเฉียนหลงได้สร้างความเจริญ

มากมายให้กับประเทศจีน โดยเฉพาะการจัดทำสารานุกรม ซื่อคู่เฉวียนซู ถือเป็นมรดกโลก

ที่สำคัญชิ้นหนึ่ง ในรัชกาลของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจมากมาย จนมีคนนำ

ไปทำละคร หนัง ซีรีย์ต่างๆ เช่น องค์หญิงกำมะลอ จอมใจจอมยุทธ์ เป็นต้น


7. จักรพรรดิเจียชิ่ง : Jiaqing Emperor ครองราชย์ในพระชนมายุได้ 37 พรรษา หลังจาก

ฮ่องเต้เฉียนหลงสละราชสมบัติ แต่ยังไม่มีอำนาจเด็ดขาด อำนาจทั้งหมดยังอยู่ที่พระบิดา

คือฮ่องเต้เฉียนหลง ค.ศ. 1799 จักรพรรดิเฉียนหลงได้สวรรคต และพระองค์จึงได้อำนาจ

ในการปกครองอย่างแท้จริง และกำจัด เหอเซิน ที่เป็นขุนนางกังฉิน โกงกินชาติ อดีต

คนสนิทของพระบิดา กำจัดทิ้งเสียไปให้พ้น


8. จักรพรรดิเต้ากวง : Daoguang Emperor ขึ้นครองราชย์ภายหลังการสวรรคตอย่าง

กะทันหันของจักรพรรดิเจี่ยชิ่ง


9. จักรพรรดิเสียนเฟิง : Xianfeng Emperor พระองค์ไม่ใช่ องรัชทายาทแต่สามารถขึ้น

ครองราชย์ได้จากการเอาชนะใจพระบิดา ในตอนออกล่าสัตว์และพระองค์ไม่สังหารสัตว์

ที่มีลูกอ่อน พระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1861) ด้วยพระชนมายุเพียง 30 พรรษา

ด้วยพระโรคที่รุมเร้าเนื่องด้วยทรงเครียดจากเรื่องปัญหาของบ้านเมือง


10. จักรพรรดิถงจื้อ : Tongzhi Emperor ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุ 5 พรรษา

ตลอดการครองราชย์ 12 ปีพระองค์ก็พยายามทำให้บ้านเมืองดีขึ้นจนมาถูกซูสีไทเฮายึด

อำนาจไว้ ในที่สุดทำให้พระองค์ไม่สามารถบริการบ้านเมืองได้อีก


11. จักรพรรดิกวังซวี่ : Guangxu Emperor เป็นพระโอรสในองค์ชายอี้ซวน ซึ่งเป็น

พระอนุชาในสมเด็จพระจักรพรรดิเสียนเฟิง พระราชชนนีคือพระขนิษฐาในพระนาง

ซูสีไทเฮาพระองค์ทรงครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุ 4 พรรษา ต่อมาเมื่อมีข่าวจาก

หยวนซื่อไข่ ว่าพระองค์จะทำรัฐประหารอำนาจจากซูสีไทเฮา ทำให้พระองค์โดนจับ

ด้วยข้อหามีความประพฤติที่เสื่อมเสียไม่สมควรที่จะเป็นจักรพรรดิที่บริหารบ้านเมืองอีก

และจับองค์พระจักรพรรดิไปคุมขังไว้ที่เกาะกลางทะเลสาบซึ่งอยู่เชื่อมต่อกับพระราชวัง

ต้องห้ามและอยู่ในการควบคุมของพระนางซูสีไทเฮา และ งานทั้งหมดของบ้านเมือง

พระนางซูสีไทเฮาก็บริหารเองแต่ก็ยังคงใช้ศักราชกวังซวี่ต่อไปตราบจนพระจักรพรรดิ

สวรรคต


12. จักรพรรดิผู่อี๋ : หรือปูยี Xuantong Emperor เป็นจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ชาวแมนจู

แห่งราชวงศ์ชิง และเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ชิง (นับเริ่มแต่จักรพรรดิซุ่นจื้อ) 

และเป็นองค์สุดท้ายของจีน





เลี่ยงบาลี คืออะไร หมายถึงอะไร




เลี่ยงบาลี คืออะไร หมายถึงอะไร

     ภาษาน่ารู้วันนี้จะมา นิยามความหมายของคำว่า เลี่ยงบสลีให้สำหรับคนไม่ยังไม่เข้าใจ

นะครับ ว่าคำว่า " เลี่ยงบาลี " นั้นหมายความว่าอย่างไรและมันคืออะไรกันแน่


นิยามของ การ เลี่ยงบาลี คืออะไร หมายถึงอะไร


 การพูดหรือตีความให้ตัวเองได้ประโยชน์หรือไม่เสียประโยชน์จากเรื่องแย่ๆที่ดูร้าย

กลายเป็นไม่มีอะไร


เลี่ยง คือ ลักษณะอาการที่บ่ายเบี่ยง ออกไปจากแนวเดิม ออกไปไม่พูดถึงเรื่องนั้น


บาลี คือ ภาษาที่ใช้เป็นหลักในพระไตรปิฎก


พอเอามารวมกัน ก็หมายถึง เป็นการบ่ายเบี่ยงหลบหลีกกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ในเชิงเปรียบเทียบคือ เอาไว้ใช้เลี่ยงความผิดหรือทำให้ตัวเองได้ประโยชน์เป็นเทคนิค

ในการหลบหลีก เรื่องราวที่ผิด หรือต้องการจะช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็คือการไม่พูด

ความจริงอยู่ดี เป็นการหาช่องโหว่ของระบบกฏเกณฑ์ต่างๆ แล้วใช้การเลี่ยงบาลีเพื่อ

ให้ตัวเองได้ประโยชน์หรือไม่ผิดในกรณีต่างๆ เช่น นายจอดรถในที่ก้ามจอด เอ้าแต่ผม

แค่หยุดรถแปปนึงไม่ได้จอดซักหน่อยหรือ ผมมาพัฒนาที่นี่เพื่อสร้างความเจริญให้กับ

หมู่บ้านของเรา บลาๆๆ (แต่ความจริงแล้วกำลัง จะสร้างห้าง สร้างฏรงงานที่กระทบต่อ

ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน)แต่ไม่นำความเหล่านั้นมาบอก (แหงละใครจะบอกละ)

กลับใช้คำสวยหรูมากมายเข้ามาแทนเพื่อให้ชาวบ้านเห็นด้วย

หรือ เช่น แฟนสาวบอกให้ฝ่ายชายสัญญาสาบานต่อหน้าหลวงพ่อวัด ...  ว่าจะไม่นอกใจ

ไปมีคนอื่น แต่ฝ่ายชายหัวหมอ เลี่ยงบาลี สาบานไปว่า ชีวิตนี้จะมีภรรยาคนเดียวคือน้อง

เห็ดหูหนู (มีภรรยาแค่คนเดียว แต่มีกิ๊กเป็น 10)

    หรือ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศสารขัณฑ์แลนด์ แดนสนทยาโดนกดดันเรื่องการ

ทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน จนหมดความไว้วางใจและแฟนบอลเรียกร้องให้ตรวจสอบและ

ลงโทษ แต่สมาคมฟุตแห่งประเทศสารขัณฑ์แลนด์ แดนสนทยากลับ ให้ไปสาบานกับ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แทน (โครตน่าขำ คิดได้ยังไง) แล้วถ้อยคำสาบานที่ต้องพูดว่า ถ้าทำหน้าที่

โดยขาดความสุจริต ขอให้.... กลับกลายเป็นคำปฏิญาณตน ซะเฉยเลยทั้งๆที่จะบอกว่า

ไปสาบาน เป็นการเลี่ยงบาลี 2 ชั้น ชั้นแรกคือไม่ตรวจสอบ ไปสาบานเพื่อให้แฟนบอล

เชื่อถือ ชั้นที่ 2 เลี่ยงบาลีในคำสาบานอย่างที่ควรจะเป็นให้กลายเป็นคำปฏิญาณตน

แกมปฏิเสธ ความผิดที่มีคนสงสัย ฮั่นแน่ เรื่องเลี่ยงบาลีนี่ คนอยู่ระดับนักบริหาร

นักการเมืองถนัดที่สุดนะครับบอกเลย

  หรือในทางที่เบาๆก็คือจะบอกเด็กน้อยที่เพิ่งเสียพ่อไปยังไง ว่าพ่อเขาตายแล้ว จะบอกว่า

ตายไปเด็กคงเสียใจหนัก เลยเลี่ยงบาลี ใช้คำอื่นและความหมายดูดีเช่น พ่อขึ้นสวรรค์ไป

คอยดูแลหนูอยู่ไง


หรือ (หรือเยอะจัง สอบตกเขียนบทความนะแบบนี้ 555+) พ่อติดคุก 10 ปี บอกเด็ก

เด็กคงงอแงทั้งวันหรืออายเพื่อนแน่ๆ ไม่กล้าสู้หน้าคน ก็เลี่ยงบาลีบอกไปว่า พ่อเขาไป

ทำงานต่างประเทศหลายปีนะลูก จะได้หาเงินมาส่งหนูเรียนสูงๆ หนูรอพ่อกลับมานะครับ

อะไรแบบนี้ก็ว่ากันไปจ้าออกแนวแบบศรีธนญชัย แต่จะใช้ในทางที่ดูดีหรือ หลอกลวงก็

อยู่กับคนใช้ เหตุผล และสถานการณ์นั้นๆนะจ๊ะ


เอาไว้เป็นความรู้รอบตัว*


หรือทำความเข้าใจเอาไว้ครับ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม






10 อันดับยอดเขาสูงในไทย




10 อันดับยอดเขาสูงในไทย


   จากบทความที่แล้ว มี >> 20 ยอดเขาภูเขาสูงสุดในอาเซียน  รวมไปถึงมี >>

ยอดเขาสูงที่สุดในโลก  มาเลยมาจัดกัน ของไทยบ้างครับ ไปดู 10 ยอดเขาที่สูงที่สุดในไทยกันจ้า


ประเทศไทย Thailand


1. ดอยอินทนนท์ Doi Inthanon อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ สูง 2,565 เมตร

หรือ 8,415 ฟุต  สูงที่สุดของประเทศไทย 77 จังหวัดอยู่ที่เชียงใหม่


2. ดอยผ้าห่มปก Doi Pha Hom Pok เชียงใหม่ สูง 2285 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา

ที่มีชื่อว่าเทือกเขาแดนลาว เป็นจุดสูงที่สุดของเทือกเขาแดนลาว


3. ดอยหลวงเชียงดาว Doi Chiang Dao เป็นภูเขาหินปูนที่สูงที่สุดในประเทศไทย

มีความสูง 2,275 เมตร เชียงใหม่


4. เขากะเจอลา Khao Kacheu La จังหวัดตาก สูง 2,152 เมตร


5. ภูสอยดาว Phu Soi Dao จังหวัดอุตรดิตถ์ สูง 2,120 เมตร


6. ภูเข้ Phu Khe จังหวัดน่าน 2,079 เมตร


7. ภูโล Phu Lo จังหวัดน่าน 2,077 เมตร หรือเรียกอีกชื่อนึงว่า ดอยโล


8. ดอยแม่โถ Doi Mae Tho จังหวัดเชียงราย 2,031 เมตร


9. ดอยแม่ยะ Doi Mae Ya จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2,005 เมตร


10. ดอยโป่งสะแยน Doi Phong Sa Yan จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2,004 เมตร


 ดอยอินทนนท์ นั้นถ้านับตามความสูงอยู่ในอันดับราวๆ 40 ถึง 41 ของอาเซียน 

แต่ถ้านับตามประเทศ คือเอายอดเขาที่สูงที่สุดของแต่ละประเทศมาอย่างละ 1

มาจัดอันดับประเทศไทยอยู่อันดับที่ 8 จาก 11 อันดับ รวมติมอร์ เลสเต้แล้ว

1. เมียนมาร์ 2. อินโดนีเซีย 3. มาเลเซีย 4. เวียดนาม 5.ติมอร์ เลสเต้ 6. ฟิลิปปินส์

7. ลาว 8. ไทย 9. บรูไน 10. กัมพูชา  11. สิงคโปร์ (สูงที่สุดของสิงคโปร์คือ

ประมาณ 164 เมตร) ซึ่งห่างอันดับก่อนหน้าอย่างกัมพูชาที่ 1,813 เมตร อยู่มากมาย






20 ยอดเขาภูเขาสูงสุดในอาเซียน




20 ยอดเขาภูเขาสูงสุดในอาเซียน 

   ในบทความเกี่ยวกับเรื่องอาเซียนเราเคยเสนอไปบ้างแล้วหลายอเรื่อง เช่น

ชื่อสกุลเงิน อาเซียน , ขนาดพื้นที่ในอาเซียน ,  เมืองหลวง ของประเทศอาเซียน

และอื่นๆอีกมากมาย เราสามารถเข้าไปดูได้ที่ >> อาเซียน* วันนี้เราจะมาดูกันครับว่า

มีภูเขายอดเขาอะไรบ้างของอาเซียนที่มีความสูงจะบอกยังไงดีละ คือเอาเป็นว่า

ยอดเขาสูงในประเทศอาเซียนมีชื่อว่าอะไรสูงเท่าไหร่บ้าง อยู่ประเทศไหน เราจะรวบ

รวมรายชื่อมาให้ครับ (เรียงลำดับ จัดไปครับ) มียอดเขาสูงที่สุดในโลก*ไปแล้ว

มาดูที่สุงที่สุดในอาเซียนกันบ้าง


1. Hkakabo Razi : เมียนร์มาร์ 5,881 เมตร (19,295 ฟุต)  กินพื้นที่ 3 ประเทศคือ

จีน พม่า อินเดีย อยู่ในรัฐ คะฉิ่นของพม่า  ทิเบตของจีน และ รัฐอรุณาจัลประเทศ

ของอินเดีย


2. Gamlang Razi : เมียนมาร์ 5,870 เมตร (19,259 ฟุต) อยู่ในแถบเดียวกันเหมือนกัน

กับข้อแรก


3. Puncak Jaya : อินโดนีเซีย จังหวัดปาปัว ติดทวีป ออสเตรเลีย 4,884 เมตร (16,024 ฟุต )


4. Sumantri : อินโดนีเซีย จังหวัดปาปัว 4,870 เมตร (15,978 ฟุต )


5. Ngga Pulu : อินโดนีเซีย 4,862 เมตร (15,951 ฟุต)


6. Puncak Mandala : อินโดนีเซีย 4,760 เมตร (15,617 ฟุต)


7. Puncak Trikora : อินโดนีเซีย 4,750 เมตร (15,584 ฟุต)


8. Ngga Pilimsit : อินโดนีเซีย 4,717 เมตร (15,476 ฟุต)


9. Pangramrazi : เมียนมาร์ 4,655 เมตร (15,272 ฟุต)


10. Phonnyinrazi : เมียนมาร์ 4,560 เมตร (14,961 ฟุต)


11. Mount Kinabalu : มาเลเซีย 4,095 เมตร (13,435 ฟุต)


12. Mount Saramati : เมียนมาร์ 3,826 เมตร (12,552 ฟุต)


13. Mount Kerinci : อินโดนีเซีย 3,805 เมตร (12,484 ฟุต)


14. Rinjani : อินโดนีเซีย 3,727 เมตร (12,228 ฟุต)


15. Semeru : อินโดนีเซีย 3,677 เมตร (12,064 ฟุต)


16. Phonkanrazi : เมียนมาร์  3,655 เมตร (11,991 ฟุต)


17. Mount Slamet : อินโดนีเซีย 3,428 เมตร (11,247 ฟุต)


18. Mount Sumbing : อินโดนีเซีย 3,371 เมตร (11,060 ฟุต)


19. Mount Arjuno : อินโดนีเซีย 3,339 เมตร (10,955 ฟุต)


20. Mount Lawu :  อินโดนีเซีย 3,265 เมตร (10,712 ฟุต)


แถมกันอีกครับ เพราะเท่าที่ดู 20 อันดับมี เมียนมาร์ กับอินโด เยอะมาก มาเลย์ 1 มั้ง

เดี๋ยวจะไม่ทั่วถึง  เลยจัดอันดับ 1 ของแต่ละประเทศในอาเซียนมาด้วยเลยละกัน


1. เมียนร์มาร์ : Hkakabo Razi :  5,881 เมตร (19,295 ฟุต)


2. อินโดนีเซีย : Puncak Jaya :  4,884 เมตร (16,024 ฟุต )


3. มาเลเซีย : Mount Kinabalu :  4,095 เมตร (13,435 ฟุต)


4. เวียดนาม : Fansipan 3,143 เมตร (10,312 ฟุต)


5. ติมอร์ เลสเต้ : Mount Ramelau 2,963 เมตร (9,721 ฟุต) นับติมอ ด้วยละกัน


6. ฟิลิปปินส์ : Mount Apo 2,954 เมตร (9,692 ฟุต)


7. ลาว : Phou Bia 2,819 เมตร (9,249 ฟุต)


8. ไทย -   ดอยอินทนนท์ Doi Inthanon : สูง 2,565 เมตร หรือ 8,415 ฟุต

สูงที่สุดของประเทศไทย 77 จังหวัด >> 10 อันดับยอดเขาสูงในไทย*


9. บรูไน : Bukit Pagon 1,850 เมตร (6,070 ฟุต)


10. กัมพูชา : Phnom Aural 1,813 เมตร (5,948 ฟุต)


11. สิงคโปร์ : Bukit Timah 163.63 เมตร (537 ฟุต)








14 ยอดเขาที่มีความสูงเกิน 8,000 เมตร





14 ยอดเขาที่มีความสูงเกิน 8,000 เมตร

   14 ยอดเขาที่มีความสูงเกิน 8,000 เมตร 8 พันเมตร แบบเรียงลำดับนะครับ เอามาให้ดูกัน 

หลังจากบทความก่อนนี้พูดถึงเขาที่สูงที่สุดในโลก* ไปแล้ว จัดไป  ยอดเขาทั้งสิบสี่ยอด

อยู่ในเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาการาโกรัมในทวีปเอเชีย บุคคลแรกที่พิชิตยอดเขา

แปดพันเมตรทั้งสิบสี่ยอดคือ ไรน์โฮลด์ เมสเนอร์


1. EVEREST : เอเวอเรสต์ 8,848 เมตร  พรมแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต

เป็นยอดเขาหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ในภาษาทิเบตยอดเขาแห่งนี้มีชื่อว่า โชโมลังมา

หมายถึง มารดาแห่งสวรรค์


2. K2 : ยอดเขาเคทู ความสูง 8,611 เมตร (28,251 ฟุต) เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา

การาโกรัม ต่อ หิมาลัย ตั้งอยู่ในบริเวณรอยต่อ ประเทศปากีสถาน - ซินเจียงอุยกูร์

ของประเทศจีน


3. Kanchenjunga : กัญจชุงฆา มีความสูงกว่า 8,586 เมตร หรือ 28,169 ฟุต อยู่ใน

เทือกเขาหิมาลัย  อินเดีย - เนปาล


4. LHOTSE : โลตเซ มีความสูงกว่า 8,516 เมตร  หรือ 27,940 ฟุต อยู่ที่รอยต่อ

เนปาล และ ธิเบต(จีน) ตั้งอยู่เทือกเขาหิมาลัยบริเวณรอยต่อของประเทศเนปาลและ

เขตปกครองตนเองทิเบต


5. Makalu : มะกะลู  8,463 เมตร หรือ 27,766 ฟุต รอยต่อพรมแดนของประเทศจีนและ

เนปาล ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย


6. Cho Oyu : โช โอยู อยู่ที่แนวเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นช่วงพรมแดนรอยต่อระหว่าง

จีน-เนปาล  (ความสูง 8,201 เมตร)


7.Daulagiri : เธาลาคีรี แนวเทือกเขาหิมาลัย อยู่ในเขตประเทศเนปาล มีความสูง

8,167 เมตร


8. Manaslu : มนัสลู หรือ มานาสลู ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย เขตประเทศเนปาล มี

ความสูงจากระดับน้ำทะเล 8,156 เมตร หรือ 26,759 ฟุต


9. Nanga Parbat : นังกาปาร์บัต มาจากภาษาสันสกฤตว่า “บรรพต” เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า

“ภูเขานักฆ่า” (Killer Mountain) เพราะเป็นภูเขาที่มีอันตรายที่สุดในบรรดายอดเขา

แปดพันเมตรสิบสี่ยอด มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 8,126 เมตร หรือ 26,660 ฟุต


10. Annapurna : อันนะปุรณะ มีความสูงถึง 8,091 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา

หิมาลัยด้านตะวันตก ในประเทศเนปาล


11. Gasherbrum 1 :  แกเชอร์บรูม 1 รอยต่อ ปากีสถาน และ ธิเบต(จีน) ความสูง

8,080 เมตร


12. Broad Peak : บรอดพีก หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ยอดเขาเคทรี (อังกฤษ: K3) ตั้งอยู่ใน

เทือกเขาการาโกรัม ประเทศปากีสถาน (ปากีสถาน และ ธิเบต(จีน))มีความสูง 8,051

เมตร หรือ  (26,414 ฟุต)


13. Gasherbrum II : มีความสูง 8,035  หรือ  (26,362 ฟุต) ในเทือกเขาการาโกรัม

ประเทศปากีสถาน และ ธิเบต(จีน)


14. Shichapangma : ยอดเขาชิชาพังมะ ธิเบต(จีน) ความสูง 8027 เมตร ใกล้ชายแดน

เนปาล ชื่อ "ชิชาพังมะ" เป็นภาษาทิเบต มีความหมายว่า "ยอดเขาเหนือทุ่งหญ้า"


*จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่นั้นจะมียอดเขาที่ติดธิเบตอยู่เยอะ แม้จะอยู่ในประเทศอื่น แต่ก็มี

รอยต่อเชื่อมกันกับธิเบต ทำให้ธิเบตได้ชื่อนึงว่า .. หลังคาโลก*

เอาไว้เป็นความรู้รอบตัวนะครับ และ เนื่องจาก ยอดเขาชิชาพังมะ นั้นทั้งหมดอยู่ใน

ประเทศจีน ทำให้ไม่ค่อยมีนักปีนเขามาท้าทายมากนักเนื่องจากระเบียบที่เข้มงวด






ภูเขายอดเขาที่สูงที่สุดในโลก คือ




ภูเขายอดเขาที่สูงที่สุดในโลก คือ

  วันก่อนเราพูดถึง เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก* ไปแล้ว วันนี้เอาความรู้รอบตัว*เล็กน้อยเรื่อง

ภูเขา ยอดเขา แล้วแต่จะเรียกเขาที่สูงที่สุดในโลกมาดูกันดีดว่ามีภูเขาอะไรบ้าง


1. Everest : ยอดเขาเอเวอเรสต์  เป็นยอดเขาหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเกิดจากการชน

กันของแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียนและแผ่นเปลือกโลกอินเดียในทางภูมิรัฐศาสตร์ ยอดเขา

เอเวอเรสต์ถือเป็นจุดแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต โดยอยู่สูงกว่าระดับ

น้ำทะเล 8,848 เมตร หรือ 29,028.9 ฟุต


2. Godwin Austen : หรือยอดเขาเคทู (K2) อยู่ในเทือกเขาคาราโคราม (Karakoram)

มีความสูง 8,611 เมตร (28,251 ฟุต) เชื่อมต่อกับแนวเทือกเขาหิมาลัยทางด้านตะวันตก

และตั้งอยู่ในบริเวณรอยต่อระหว่างเขตกิลกิต-บัลติสถานของประเทศปากีสถาน กับ

มณฑลปกครองตนเองตัชคูร์กันทาจิกในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของประเทศจีน


3. Kanchenjunga : กันเจนชุงคา (Kanchenjunga) หรือ กัญจชุงฆา ตั้งอยู่ในเทือกเขา

หิมาลัยบริเวณพรมแดนประเทศอินเดียกับเนปาล มีความสูงกว่า 8,586 เมตร หรือ 28,169 ฟุต


4. Lhotse : ตั้งอยู่เทือกเขาหิมาลัยบริเวณรอยต่อของประเทศเนปาลและเขตปกครองตนเอง

ทิเบต (หลังคาโลก*) ของประเทศจีนอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 8,516 เมตร หรือ 27,940 ฟุต


5. Makalu : ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย อยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนของประเทศจีนและเนปาล

อยู่ห่างจากยอดเขาเอเวอเรสต์ 19 กิโลเมตร ยอดเขามาลาคูอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล

8,463 เมตร หรือ 27,766 ฟุต


6. Cho Oyu : โช โอยู อยู่ที่แนวเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นช่วงพรมแดนรอยต่อระหว่างจีน

- เนปาล  (ความสูง 8,201 เมตร)


7. Daulagiri : ยอดเขาที่แนวเทือกเขาหิมาลัย อยู่ในเขตประเทศเนปาล มีความสูง 8,167

 เมตร


8. Manaslu : มานาสลู ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยในเขตประเทศเนปาล เป็นยอดเขาที่สูง

ที่สุดในโลกอันดับ 8  มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 8,156 เมตร หรือ 26,759 ฟุต


9. Nanga Parbat : นังกาปาร์บัต เป็นยอดเขาสูงสุดในโลกอันดับที่ 9 นังกาปาร์บัตแปลว่า

“ยอดเขาเปลือย” “Parbat” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “บรรพต” เป็นภูเขาที่มีอันตรายที่สุด

ในบรรดายอดเขา 8 พันเมตร ทั้ง 14 ยอด * จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ภูเขานักฆ่า”

(Killer Mountain) เพราะมีคนเสียชีวิตจากภูเขานี้มากมายในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่

20 และเป็นภูเขาที่ปีนยาก มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 8,126 เมตร หรือ 26,660 ฟุต


10. Annapurna : เทือกเขาอันนะปุรณะ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยด้านตะวันตก

ในประเทศเนปาล มีความสูงถึง 8,091 เมตร ชื่อ "อันนะปูรณา" เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง

เทวีแห่งการเก็บเกี่ยว


ลิ้งที่เกี่ยวข้อง >> ยอดเขาที่มีความสูงเกิน 8,000 เมตร (มียอดเขาอะไรบ้าง)


เกร็ดความรู้เล็กน้อย : ไรน์โฮลด์ เมสเนอร์ (Reinhold Messner) นักปีนเขาชาวอิตาลี

มนุษย์คนแรกที่ขึ้นสู่ ยอดเขาเอเวอเรสต์ เพียงลำพัง โดยไม่ใช้ ถังออกซิเจนสำรอง

ไม่ใช้ลูกหาบ และเขายังเป็นคนที่พืชืตยอดเขา ด้านบนทั้งหมดอีกด้วย แต่ไม่สิเขานั้น

เป็นเจ้าของสถิติ พิชิตยอดเขาที่มีความสูงเกิน 8,000 เมตร ครบทั้ง 14 แห่ง เป็นคนแรก

ของโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 และจนถึงปัจจุบันมีผู้สามารถพิชิต 14 ยอดเขาดังกล่าวได้

ครบเพียง 14 คน






กษัตริย์พม่าที่ชนะไทย





กษัตริย์พม่าที่ชนะไทย

   กษัตริย์พม่าที่ชนะไทย ในที่นี้หมายถึงที่สามารถตีไทยจนพ่ายแพ้ไปได้ในอดีตอย่าง

เสียกรุง ครั้งที่ 1 และ 2นะครับ นั้นหมายความว่าจะมี 2 พระองค์ที่สามารถทำสำเร็จในการตี

กรุงศรีแตก ต่อไปอาจไปตี กสิกร เอ้ยไม่ใช่ละ กษัตริย์พม่าที่รบไทย* นั้นมีอยู่หลาย

พระองค์เลยครับ ตามลิ้งตัวหนาที่มีดอกจัน ไปเลยส่วนสาเหตุของการเสียกรุงนั้น

ตามนี้ >>> สาเหตุของการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 (มีตอนที่ 2 นะครับอ่านไปโลด)


ส่วน กษัตริย์ของพม่าทั้ง 2 พระองค์ที่ทำให้อยุธยาเสียเอกราชนั้นคือ พระเจ้าบุเรงนอง

และ พระเจ้ามังระ



1. พระเจ้าบุเรงนอง หรือที่เรียกกันว่า ผู้ชนะสิบทิศเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ 1 ใน

3 กษัตริย์พม่า* เลยทีเดียว โดยปราบทั้งอาณาจักรอยุธยา ล้านนา ล้านช้าง มณีปุระ

ไทใหญ่ และดินแดนใหญ่น้อยมากมายรวมพม่าเป็นปึกแผ่น พระเจ้าบุเรงนองยังถือว่า

เป็นกษัตริย์นักปกครองและบริหารที่เก่งกาจมีความสามารถในการสงครามและการ

ปกครองอย่างดี โดยผู้ที่มาช่วยอยุธยาปลดแอกกู้เอกราชกลับมาได้นั้นคือ สมเด็จ

พระนเรศวรมหาราช นั่นเองซึ่งในสมัยของพระเจ้าบุเรงนองนั้น พระองค์คือองค์ดำที่โดน

พาไปเป็นตัวประกันที่หงสาด้วย


2. พระเจ้ามังระ ในครั้งที่ 2นี้ถึงกับโค่นล้มอาณาจักรอยุธยาไม่ให้สามารถกลับมาตั้ง

เป็นราชธานีได้อีก ต่อไปซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ โดยพระเจ้ามังระ ให้ทั้งเนเมียวสีบดี

 กับมังมหานรธา เป็นแม่ทัพฝั่งพม่า เข้ามาตีอยุธยา และยังมีเหตุการณ์ของ บ้านบางระจัน

เกิดขึ้นด้วยเป็นการดำเนินการสงครามที่พม่าเตรียมตัวมาอย่างดีทุกด้าน + กับแก้เกมส์ของ

ทางฝั่งอยุธยาที่ใช้วิธีป้องกันในกำแพงเมืองมาอย่างดีมากจนทำให้สามารถเอาชนะอยุธยา

ตีเมืองแตกไปได้ อ่านได้ที่ >>> Timeline การเสียกรุงครั้งที่ 2 : พระเจ้ามังระตีกรุง*

ผู้ที่มากอบกู้บ้านเมืองในประวัติศาสตร์ไทย*อีกครั้งคือ พระเจ้าตากสินมหาราชนั่นเอง ปราบ

เหล่าก๊กต่างๆที่ตั้งตนเป็นใหญ่และตั้งเมืองหลวงคือกรุงธนบุรีขึ้นมา ด้วยโชคดีที่ขณะนั้น

พม่าติดศึกกับจีนทำให้ทำการง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย






รายพระนาม กษัตริย์พม่าราชวงศ์คองบอง




รายพระนาม กษัตริย์พม่าราชวงศ์คองบอง




1. พระบาทสมเด็จพระมหาโพธิสัตว์เจ้า หรือ พระเจ้าอลองพญา : ปฐมกษัตริย์แห่ง

ราชวงศ์คองบอง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของพม่า*แต่เดิมนั้นเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน

มอกโชโบหรือหมู่บ้านคองบองหรือเมืองชเวโบในปัจจุบัน สามารถขับไล่ชาวต่างชาติ

ที่สนับสนุนมอญออกไปได้ กอบกู้รวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น พระองค์ทรงก่อตั้ง

เมืองย่างกุ้ง สามารถยึดเมืองคืนจากราชวงศ์ชิง ของจีน ยึดแหลมเนกิสคืนจากอังกฤษ

ยึดครองมณีปุระและทำสงครามกับอยุธยา แต่ไม่สำเร็จและสวรรคตในครั้งนั้น

               ในประวัติศาสตร์ไทยกล่าวว่าพระองค์สวรรคตจากปืนใหญ่ระเบิดแต่ใน

พงศาวดารพม่าบอกไว้ว่าพระองค์สวรรคตจากโรคบิด นอกจากนี้พระองค์ยังเป็น 1 ใน

3 กษัตริย์พม่าผู้ยิ่งใหญ่* มีอนุสาวรีย์อยู่ที่เมือง เนปิดอว์ เมองหลวงของพม่า ร่วมกับ

พระเจ้าอโนรธามังช่อ และ พระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งทั้ง 3 พระองค์เป็นมหาราชของพม่า



2. พระเจ้าเนียงดอคยี : หรือ พระเจ้าเมิงลอก (มังลอก) พระบรมเชษฐาธิราช

พระราชโอรส (ราชโอรสองค์โตในพระเจ้าอลองพญา) ในสมัยของพระองค์นั้นมีการ

เกิดกบฏหลังจากพระเจ้าอลองพญาสวรรคตไป แต่พระองค์ก็ไม่ได้ลงโทษให้อภัยโทษ

เนื่องด้วยเกรงว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้นได้ พระเจ้าเนียงดอคยีสวรรคตด้วยพระโรคบิด

เช่นเดียวกับพระราชบิดาของพระองค์ ที่ตามพงศาวดารพม่าได้บอกไว้



3. พระเจ้ามังระ : สิริสุริยาธรรมราชาธิบดี สินพยูฉิน หรือพระเจ้าสินพยูฉิน เรียกกันอีก

ชื่อว่า พระเจ้าช้างเผือก ในสมัยพระองค์นั้น สาารถตีเอาเมืองมณีปุระคืนมาได้ และยึด

ลาวกับล้านนาได้และผลงานชิ้นสำคัญของพระองค์คือ การที่สามารถยึดกรุงศรีอยุธยา

(โยเดีย) ได้ เป็นสาเหตุให้เสียกรุงครั้งที่2*  ในวันที่ 7 เมษายน 1767 ในสมัยพระองค์

ยังได้ทำสงครามกับ ราชวงศ์ชิงในยุคของจักรพรรดิเฉียนหลงอีกด้วยและได้รับชัยชนะ

อย่างสวยงาม พระองค์ยังได้ทำการรบกับพระเจ้าตาก แต่ยังไม่เสร็จศึกพระองค์ก็

สวรรคตเสียก่อน ในวันที่ 10 มิถุนายน 1776 สิริพระชนมายุ 39 พรรษา



4. พระเจ้าจิงกูจา : หรือพระเจ้าซินกูมิน ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชันษาเพียง 19 ปี

พระเจ้าจิงกูจาครองราชย์เพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน ก็ถูกเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง คือ

หม่องหม่อง โอรสของพระเจ้ามังลอก แย่งราชสมบัติอีก



5. พระเจ้าหม่องหม่อง : พองกาซาหม่องหม่อง อยู่ในอำนาจได้เพียงแค่ 7 วันเท่านั้น

ปโดงเมง เจ้าเมืองปโดง ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์หนึ่งของพระเจ้าอลองพญา ก็ยกทัพ

เข้ามา ยึดอำนาจไป  ปโดงเมง คนนั้นก็คือพระเจ้าปดุง



6. พระเจ้าปดุง : พระบรมอัยกาธิราชพระเจ้าบาดงพระเจ้าช้างเผือก เป็นอีกพระองค์ที่มา

ทำการรบกับสยาม ในขณะนั้นคือกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น 1 ในหลายๆพระองค์ และนั่นเอง

พระองค์เป็น กษัตริย์พม่าที่รบกับไทย*  ที่ดังๆเลยคือ สงคราม 9 ทัพ* พระองค์ ทรง

ย้ายเมืองหลวงไปที่อมรปุระ และได้มีการรุกรานอาณาจักรยะไข่และตีสำเร็จในเวลาต่อมา

พระเจ้าปดุง สวรรคตในปี พ.ศ. 2362 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ของไทย รวมระยะเวลาการครองราชย์นานถึง 37 ปี




7. พระเจ้าพาคยีดอ : พระเจ้าจักกายแมง   มีนโยบายขยายอำนาจเข้าไปในแคว้นอัสสัม

และมณีปุระ และสามารถทำได้ แต่ปัญหาของพระองค์คืออาณาจักรมณีปุระกับอาณาจักร

อาหมหรืออัสสัมถูกพระองค์ยึดไว้นี่แหละครับ เพราะทำให้มีปัญหากับอังกฤษ จนเกิดเป็น

สงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 1 ส่งผลให้พระองค์เสียพระทัยอย่างมากเพราะต้องลงนามใน

สัญญาดาโบ ที่มีรายละเอียดว่า


1.ยกดินแดนอัสสัม,มณีปุระ,ยะไข่,ตะนาวศรี และทางตอนใต้ของแม่น้ำสาละวิน


2.ไม่เข้ามาแทรกแซงกาชาร์กับไจน์ติญา


3.จ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนเงินล้านปอนด์


4.อนุญาตให้มีการติดต่อระหว่างผู้แทนของอังวะกับกัลกาตา


5.เซ็นสัญญาร่วมการค้า  (คงไม่ต่างกันมากกับ สนธิสัญญาเบาว์ริง *  ที่ไทยโดน)


ทำให้พระองค์ไม่มีจิตใจบริหารปกครองประเทศ ส่งผลให้อำนาจตกอยู่ที่มเหสี และ

พระเชษฐา ถูกกักบริเวณจากข้อหาว่าเป็นโรคประสาทจนพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อ

15 ตุลาคม พ.ศ. 2389



8. พระเจ้าสารวดี :  หรือพระเจ้าแสรกแมง  พระองค์คือผู้ที่ตับประเจ้าพาคยีดอ คุมขัง

ไว้แล้วขึ้นครองราชย์แทน ต่อมาพระองค์เองก็ทรงมีพระสติวิปลาสและถูกพระโอรสคือ

เจ้าชายพุกาม มิน หรือในพงศาวดารไทยเรียกพระเจ้าพุกามแมงควบคุมตัวไว้ตั้งแต่

พ.ศ. 2385 และสวรรคตเมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2389



9. พระเจ้าพุกาม : ในรัชสมัยของพระองค์ พม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษอีกครั้งจนต้อง

เสียดินแดนพะโคและพม่าตอนใต้เกือบทั้งหมด และได้มีกบฏเกิดขึ้นโดยเจ้าชายมินดง

พระอนุชาของพระเจ้าพุกามแมงซึ่งไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามกับอังกฤษตั้งแต่ต้น

และปลดพระองค์ออกจากราชสมบัติเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2395



10. พระเจ้ามินดง : พระองค์เป็นผู้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อมรปุระ และมัณฑะเลย์ ทรง

ปฏิรูปการปกครองพม่าใหม่ให้ทันสมัยกว่าเดินและสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับอังกฤษแต่ถึง

อย่างนั้นก็ยังเกิดความขัดแย้งกับอังกฤษทำให้ต้องเสียดินแดนไปให้อีกจำนวนมาก

ปัญหาการแย่งชิงอำนาจภายในประเทศทำให้เกิดการสังหารหมู่พระราชวงศ์จำนวนมาก

หลังสิ้นรัชกาลพระเจ้ามินดงแล้ว เป็นจุดที่ให้ลจะสูญสิ้นของราชวงศ์คองบองเต็มที



11. พระเจ้าธีบอ : พระเจ้าสีป่อ หรือ พระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งพม่า ต้องยอม

ประกาศสงครามกับอังกฤษอีกครั้ง เพราะโดนเอาเปรียบเรื่องการค้าไม้ และแน่นอนว่า

พระองค์ไม่สามารถเอาชนะอังกฤษได้จำต้องยอมแพ้และถูกบังคับให้สละราชสมบัติและ

เนรเทศไปอยู่ที่เมืองรัตนคีรี ประเทศอินเดีย หลังสิ้นสงครามพม่า-อังกฤษ ครั้งที่ 3 และ

สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2459


จบราชวงศ์คองบองราชวงศ์สุดท้ายของพม่า







คำนิยามของคำว่า " เคยดูบอลหรือเปล่า ? "




คำนิยามของคำว่า " เคยดูบอลหรือเปล่า ? "

  ทำไมเวลาถามเรื่องฟุตบอล ถึงชอบตอบว่า "เคยดูบอลหรือเปล่า?"  ทำไมคำนี้ถึงพูด

ใช้แสดงความเห็นแบบโดดๆ โดยไม่มีคำอธิบายอะไรในตัวมันเลย มักจะมีคำนี้ออกมาใน

ทางที่โต้แย้งหรือถกเถียงกัน วันนี้ลองมานิยามกันดูว่าคำนี้มีความหมาย และภาพรวม

ของมันไปในทางไหนได้บ้าง เอาไว้เป็นความรู้รอบตัว*กันครับอยู่ในหมวดของ ภาษาน่ารู้*

แล้วกันนะครับ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตีความหมายและภาษา


1. เคยดูบอลหรือเปล่า : คือความมหายตรๆเลยว่าเคยดุบอลไหม ถามแบบ นิยามดีๆ

(แต่นิยามแบบนี้มีน้อย)


2. ความเห็นต่างไม่เห็นด้วย : คือคนที่ถูกถามอาจแสดงความเห็นแล้วคนถามไม่

เห็นด้วย อย่างแรงเลยถามแบบนั้นออกไปเพื่อเป็นการกระทบกระแทกโต้ตอบ


3. ดูบอลเป็นหรือเปล่า : คือบางครั้ง กติกาฟุตอลมันมีมากและต้องทำความเข้าใจ

มากกว่าที่เห็น อย่างโดนทำฟาล์ว แต่กรรมการไม่เป่าเพราะเป็นลูกได้เปรียบ

แต่นายเอ โวยวายไม่รู้เรื่อง นายบีเลยถามด้วยความรำคาญว่า ดูบอลเป็นรึเปล่า


4. คนไม่เคยดูบอลสินะ : ถึงได้แสดงความเห้นแบบนี้ออกมา (น่าจะเป็นความคิดเห็น

หรือพูดออกมาจากคนที่ไม่มีความรู้ ซึ่งมีหรือไม่มีอยู่ที่คนฟังว่าจะคิดเช่นไร)แต่ไม่

สามารถบอกได้ว่าคนพูดนั้น รู้เรื่องจริงหรือไม่ เพราะถ้าคนพูด พูดในเหตุผลที่เหมาะสม

แต่ไม่เข้าหูคนฟัง อันนี้ก็อยู่ที่วิจารณญาณของคนฟังเองที่จะตัดสิน ไม่มีใครผิด


5. คำตอบเท่ๆ : ตอบแบบกำปั้นทุบดินเท่ๆ แล้วไม่อธิบายต่อ เอาไว้ข่มผู้อื่น


6. เหยียดหยามดูถูก : ตามนั้น ทำเท่ดูถูก


7. คำถามเพื่อโชว์ภูมิไว้ข่มผู้อื่น : โชว์ภูมิว่าเอ้ยเอ้งดูบอลเป็นเปล่าวะ ไม่ได้เรื่อง

บลาๆๆๆ


8. ถ้าเคยดูจะไม่พูดแบบนี้ : คือคนพูดอาจจะพูดอะไรที่ไร้ซึ้งสาระมากจนทำให้

คนฟังถามแบบนี้ออกมา เพราะที่พูดมาอาจไม่เข้าเรื่องเข้าราวอย่างแรง


เลยต้องถามจี้จุดใจดำว่า เคยดูบอลหรือเปล่า ที่ปากพ่นๆออกมาแต่ละคำหนะ

เคยดูไหม ถามจริง (อะไรทำนองนี้) เช่นทีมชาติไทยชุด AFF*ทำไม ไม่เอากองหลังดีๆ

มาเล่นแทนธนบูรณ์ บลาๆ (ในเมื่อหลังเจ็บและเปลี่ยนผู้เล่นในทัวร์นาเม้นท์ไม่ได้)

จะให้ไปเอากองหลังจากไหนมาเพิ่ม