หมวดหมู่

หมวดหมู่สำคัญ

ฮั่นเซียงจื่อ Han Xiangzi เทพโป๊ยเซียน

 


ฮั่นเซียงจื่อ Han Xiangzi เทพโป๊ยเซียน


ฮั่นเซียงจื่อ หรือ หานเซียงจือ แล้วแต่ถนัด มีชื่อรองว่า Qingfu (ชิงฟู)

เป็นหนึ่งใน "แปดอมตะ"  (เทพโป๊ยเซียน) เขาศึกษาลัทธิเต๋าภายใต้การดูแลของ หลู่ตงปิน

เป็นบุคคลในตำนานของจีน และเป็นหนึ่งในแปดผู้เป็นอมตะในลัทธิเต๋า มีพลังที่จะทำให้ต้นไม้เติบโต

และเบ่งบานทันทีตามเสียงเพลงของขลุ่ยของเขา 

เรื่องราวที่เก่าแก่ที่สุดของเขามาจากสมัยราชวงศ์ถัง มักอยู่ในรูปที่มีการวาดไว้

ถูกวาดภาพว่าถือดิจื่อ (ขลุ่ยจีน) เขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพผู้อุปถัมภ์ของนักเป่าขลุ่ย 

เชื่อกันว่าเขายังเป็นผู้ประพันธ์ดนตรีของลัทธิเต๋า Tian Hua Yin (สวรรค์引)

ฮั่นเซียงจื่อ เป็นบุตรชายของ ฮั่น ฮุย ซึ่งเป็นพี่ชายของ ฮั่น หยู (ผู้มีชื่อเสียง รัฐบุรุษและกวีแห่งราชวงศ์ถัง)

หลังจากการเสียชีวิตของ ฮั่น ฮุย และภรรยาของเขา เซียงจื่อ ก็ถูกเลี้ยงดูมาในบ้านของ ฮั่น หยู 

ราวกับว่าเขาเป็นลูกชายแท้ๆ


ฮั่น หยู มีความคาดหวังอย่างมากต่อหลานชายของเขา เสียที่หลานชายของเขาไม่มีความตั้งใจ

ที่จะรับราชการ ประพฤติตัวขาดความรับผิดชอบ แทนที่จะเรียนกลับรังแกเพื่อนร่วมชั้น ทำตัวเกเร 

ทำอะไรสำเร็จเลยแต่เขาชอบที่ศึกษาหลักคำสอนของลัทธิเต๋า 


ต่อมา ฮั่น หยู เลยให้ เซียงจื่อ แต่งงานกับ หลินหลี่อิง (Lin Liying) ลูกสาวของนักวิชาการ หลิน 

หวังให้เขาละทิ้งลัทธิเต๋าและอุทิศตนเพื่อการเรียนสนใจงานด้านวิชาการ มากกว่าเรื่องของลัทธิเต๋า

 อย่างไรก็ตาม เซียงจื่อไม่เคยทำให้ภรรยาของเขาตั้งท้องเลย 


หลายปีต่อมาเขาก็หนีออกจากบ้านเพื่อไปเข้าร่วมกับ หลู่ตงปิน และ จงลี่ฉวน 

หลังจากที่ ฮั่นเซียงจื่อ กลายเป็นอมตะได้สำเร็จ เขาก็กลับมายังโลกเพื่อช่วยเหลือลุง ป้า และภรรยา

ของเขา (เพื่อให้พวกเขากลายเป็นอมตะด้วย) ก็ไปร่วมวันเกิดของลุงของเขา ฮั่นหยูพยายามโน้มน้าว

หลานชายของเขาอีกครั้งให้ละทิ้งการแสวงหาลัทธิเต๋า 

เพื่อแสดงให้ลุงได้รู้เขาเลย  กล่าวว่าเส้นทางของพวกเขาแตกต่างออกไป  เขาสามารถทำสิ่งอัศจรรย์ 

ฮั่นหยูไม่เชื่อเขา

เซียงจือ จึงแสดงให้เห็นถึงพลังของเต๋าโดยการเทเหล้าจากน้ำเต้า จากนั้นกลุ่มดอกไม้สีฟ้าปรากฏขึ้น

บนกองดิน (ดอกโบตั๋น) ทันใดนั้นก็มีช่อดอกโบตั๋นที่สมบูรณ์แบบออกมา บนกลีบดอกไม้เหล่านี้เขียน

ด้วยทองคำ เนื้อความทำนาย


เขาทำนายว่า ลุงของเขาจะไปหลงที่ดินแดนภูเขาอันไกลโพ้น หาทางออกไม่ได้โดนหิมะปกคลุม 

ม้าก็ไม่สามารถช่วยพาออกมาได้ เขาว่าสักวันหนึ่งคำพูดเหล่านั้นจะเป็นจริง  


และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆในอนาคต เมื่อฮั่น หยู ถูกเนรเทศเพื่อเป็นการลงโทษสำหรับการติติงฮ่องเต้

เรื่องพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า การประท้วงต่อต้านจักรพรรดิ์ทำให้ถูกลงโทษ


ในขณะที่เดินทาง เขาถูกพายุรุนแรงและฮั่นเซียงจื่อก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา และถามเขาว่าเขาจำบทกวี

ที่ปรากฏท่ามกลางดอกไม้ได้หรือไม่

ลุงของเขาตกใจที่ บทกวีคำทำนายบนกลีบดอกโบตั๋นนั้นเป็นจริง 


ฮั่นเซียงจื่อ จึงช่วยชีวิตลุงของเขาจากพายุหิมะที่(ลังกวน) Languan ต่อมาฮั่นเซียงจือมอบยาให้เขา

แล้วบอกว่า อีกไม่นานเขาจะกลับมาและฟื้นตำแหน่งเดิมอีกครั้ง


ฮั่นเซียงจื่อมักจะถือ "ตะกร้าดอกไม้และขลุ่ยหยก"  ขลุ่ยของเขาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี




สงครามเจ็ดปี หรือ สงครามโลกครั้งที่ศูนย์ (World War Zero)

 


สงครามเจ็ดปี หรือ สงครามโลกครั้งที่ศูนย์ (World War Zero)


เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1756 ถึง ค.ศ. 1763 


สาเหตุโดยตรงคือความพยายามของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (ปกครองประเทศสเปนและประเทศออสเตรีย)


ที่จะยึดแคว้นซิลีเซีย (ไซลีเซีย Silesia)คืนจากปรัสเซีย 


เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและมีความสำคัญทางอุตสาหกรรม เป็นภูมิภาคประวัติศาสตร์


ของยุโรปกลางซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโปแลนด์ โดยมีส่วนเล็กๆ ในสาธารณรัฐเช็กและเยอรมนี


ด้วยการเพิ่มการแข่งขันในอาณานิคมระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1754 สงครามดังกล่าว


จึงกลายเป็นสงครามทั่วโลก การรบแบ่งออกเป็นบริเตน ปรัสเซีย และมหาอำนาจอื่นๆ 


(ฝรั่งเศส ออสเตรีย รัสเซีย สเปน และสวีเดน) และมหาอำนาจยุโรปทั้งหมดในขณะนั้น ยกเว้นจักรวรรดิออตโตมัน


การสู้รบขยายวงกว้างออกไป ยุโรป. ในอินเดีย จักรวรรดิโมกุลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส 


ที่พยายามหยุดยั้งอังกฤษไม่ให้รุกรานแคว้นเบงกอล 


การต่อสู้ระหว่างฝรั่งเศส-อังกฤษยังคงเป็นกุญแจสำคัญ คู่ต่อสู้หลักสองรายคือฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ 


แต่เกี่ยวข้องกับมหาอำนาจส่วนใหญ่ในยุคนั้นการสงครามไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ยุโรปหรืออินเดีย 


ซึ่งส่งผลกระทบต่อยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง ชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก อินเดีย และฟิลิปปินส์ 


เพราะดินแดนเหล่านี้ล้วนถูกควบคุมโดยมหาอำนาจยุโรปหลายชาติ 


สงครามเจ็ดปีได้รับแรงผลักดันจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจยุโรป อังกฤษแข่งขันกับ


ฝรั่งเศสและสเปนเพื่อการค้าและอาณานิคม ปรัสเซียที่กำลังรุ่งโรจน์กำลังแข่งขันกับออสเตรีย


เพื่อชิงอำนาจทั้งภายในและภายนอกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์


บริเตนประสบความสำเร็จอย่างมากในสงครามเจ็ดปี โดยได้รับความได้เปรียบอย่างล้นหลาม


ในสงครามการค้ากับฝรั่งเศสในพื้นที่ส่วนใหญ่ของนิวฟรานซ์ในแคนาดา ฟลอริดาของสเปน 


อาณานิคมบางแห่งในหมู่เกาะแคริบเบียน เซเนกัล และอนุทวีปอินเดีย


ผลของสงคราม ฝ่ายแองโกล-ปรัสเซียนได้รับชัยชนะ ซึ่งนำไปสู่การผงาดขึ้นของอังกฤษ


ฝรั่งจึงเสียอำนาจการคสบคุมในยุโรปไป จึงทำให้พันธมิตรอย่างออสเตรียภาเสื่อมอำนาจลงไปด้วย


ยุโรปกลับเข้ามามีสมดุลใหม่อีกครั้ง ปรับเปลี่ยนสมดุลกันครั้งใหญ่ ฝรั่งเศสถูกลิดรอนอาณานิคม


จำนวนมากและมีภาระหนี้สงครามจำนวนมาก สเปนสูญเสียฮาวานาในคิวบาและมะนิลาในฟิลิปปินส์ให้กับอังกฤษ


สเปนสูญเสียฟลอริดาแต่ได้เฟรนช์ลุยเซียนาแต่ต่อมาก็กลับมาควบคุมคิวบาและฟิลิปปินส์ที่สูญเสียให้กับอังกฤษในช่วงสงคราม 


สงครามสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาปารีสระหว่างฝรั่งเศส สเปน และบริเตนใหญ่ 


และสนธิสัญญาฮูแบร์ตุสบูร์กระหว่างแซกโซนี ออสเตรีย และปรัสเซีย

เหอเซียงกู่ He Xiangu นางฟ้าใน เทพโป๊ยเซียน

 


เหอเซียงกู่ He Xiangu นางฟ้าใน เทพโป๊ยเซียน


เหอเซียงกู่ หรือ เหอเซียนกู Hé Xiāngū หรืออาจจัเรียกว่านางฟ้าเหอ 


ซึ่งมีชื่อเดิมว่า He Qiong เป็นชาว กว่างโจว ในสมัยราชวงศ์ถังที่เจริญรุ่งเรือง


ต้นแบบคือหญิงสาวสวยที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา มักถือดอกบัว เธอมีหลายตำนานให้กล่าวถึง


ตามตำนานที่แพร่หลายเล่าว่า ลูกสาวของตระกูลเหอ เมื่ออายุได้ 13 ปี เธอไปที่ภูเขาเพื่อเก็บชา


 เธอได้พบกับผู้เป็นอมตะ เทพโป๊ยเซียน (หรือหลู่ตงปิน) โดยบังเอิญ และพาเธอไป ในฐานะลูกศิษย์หญิง


ในตำนานต่างๆ เหอเซียนกู่มีตัวตนอยู่สามประการ ได้แก่ นางฟ้า แม่ชีลัทธิเต๋า และแม่มด


บางตำนานเล่าว่า เมื่อแรกเกิด เธอมีผมยาวหกเส้นบนกระหม่อม เมื่อเธออายุประมาณ 14 หรือ 15 ปี


เทวดาองค์หนึ่งปรากฏแก่เธอในความฝันและสั่งให้เธอกินไมกา(กลุ่มแร่ไมกา) ที่เป็นผงเพื่อ


มีภูมิคุ้มกันจากความตายเป็นอมตะ และล่องหนได้ เธอสาบานว่าจะยังคงรักษาพรหมจรรย์  และถือศีลอด


ต่อมา พระนางอู่ เจ๋อเทียน ( บูเช็คเทียน) ได้เรียกนางเข้าเฝ้า แต่นางหายตัวไประหว่างเดินทาง 


ภายหลัง นางได้กลายเป็นเซียนและขึ้นสวรรค์ไปในนหนึ่งในช่วงยุคจิงหลง (ค.ศ. 707–710)


 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจงจงแห่งราชวงศ์ถัง เธอเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ในเวลากลางวันแสกๆ และกลายเป็นอมตะ


ดอกบัวของเหอเซียงกู่ มีผลต่อผู้คนในด้านช่วยปรับปรุงสุขภาพ จิตใจ และร่างกาย


มีภาพเธอถือดอกบัว และบางครั้งก็มีเครื่องดนตรีที่เรียกว่าเซิงหรือเฟิ่งหวงติดตามเธอด้วย 


เธออาจถือแส้หรือกระบวยก็ได้ 


ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีบันทึกว่าคำจารึกของวัดเหอเซียนกู่ว่าในสมัยว่านหลี่ หลิว จี้เหวิน ผู้ว่าราชการมณฑลกวางตุ้งและกวางสีได้ขอ


เหอเซียนกู่ มีความสามารถในการคาดการณ์ลางที่ดีและไม่ดีเมื่อ เขาจึงขอให้นางทำนายให้ เขากำลังปราบปรามความวุ่นวายจากกบฎ


นางได้บอกแม่ทัพว่า ท่านจะไม่ได้เห็นศัตรูด้วยซ้ำ ก่อนที่ท่านจะไปถึง พวกเขาจะพ่ายแพ้และหนีไปแล้ว


ต่อมาในระหว่างการสู้รบระหว่างกองทัพซ่งกับหนง จื้อเกา เพียงไม่นาน หนง จื้อเกาก็พ่ายแพ้และหนีไปที่อาณาจักรต้าหลี่