กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty 2
ราชวงศ์หมิง ในหน้าแรกพูดไปแล้วสำหรับ "กษัตริย์และราชวงศ์หมิง "
6 พระองค์ มาหน้านี้ต่อกันที่พระองค์ที่ 7 ถึง พระองค์สุดท้าย หรือคนสุดท้ายของ
ราชวงศ์หมิง กันเลยครับ
คืนไป มนสมัยของพระองค์ทรงทำสงครามชนะมองโกลที่มารุกราย ทรงจัดการบ้าน
เมืองให้เรียบร้อย กำจัดอำนาจของขันทีออกไป (ขันทีอีกแล้ว) แต่ไม่ทรงที่จะกล้า
ไปรับพระเชษญากลับมาเพราะเกรงว่าจะทำลายความมั่นคงของราชบัลลังก์ที่พระองค์
นั่งอยู่แต่ในที่สุดก็ได้ไปรับอดีตฮ่องเต้กลับมาตามคำแนะนำของยู่เฉียน โดยให้มีคน
เฝ้าพระตำหนักไม่ให้พบปะคนนอกได้เพื่อป้องกันการยึดอำนาจคืนแต่ต่อมาฮ่องเต้จิ่งไท่
ก็ประชวรหนักขุนนางต่างหารือเพื่อหาทายาทขึ้นมาสืบบัลลังก์หารือว่าจะตั้งจูเจี้นเซิน
หรือจูเจี้ยนจี๋ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่ทหารของ อดีตฮ่องเต้เจิ้งถง ก็เข้ามาล้อมวัง ยึดอำนาจ
ตั้งตนเองกลับเป็นฮ่องเต้เสียใหม่ ฮ่องเต้จิ่งไท่จึงได้สิ้นพระชนม์ในวันนั้นขุนนางฝ่าย
ของยูเฉียนจึงถูกประหารชีวิตไปมาก ข้อหาขบถทรยศต่อฮ่องเต้เจิ้งถง
8. จักรพรรดิเฉิงฮว่า Chenghua Emperor : เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิเจิ้งถง
ทรงครองราชย์เมื่อพระชนม์ได้เพียง 17 พรรษา พระองค์ต้องเป็นฮ่องเต้อีกคนนึงซึ่ง
อ่อนแอ ไม่สามารถจัดการกับอำนาจของขันทีในวังได้ต้องตกอยู่ในวงอำนาจของเหล่า
ขันทีพวกนั้นทรงไม่มีอำนาจอะไรมากนักและไม่ชอบว่าราชกิจเพราะไม่ทรงแข็งพอ
ควบคุมขุนนาง งานต่างๆจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจขันทีแทน (ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง
จูหยวนจางพระองค์ อุตส่าทำให้อำนาจขันทีลดลงแล้วแท้ๆ)
9. จักรพรรดิหงจื้อ Hongzhi Emperor : เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิเฉิงฮัว
ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหงจื้อ ขณะพระชนม์ 17 พรรษา ตลอด 18 ปีในรัชกาล
ทรงทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
ในยุโรปเข้ามาติดต่อทำการค้าและเจริญสัมพันธไมตรีมากมายซึ่งทำให้เจริญก้าวหน้า
มากเพิ่มขึ้นจากสมัยของฮ่องเต้หงจื้อ
มีพระชนมายุเพียง 14 พรรษาในรัชกาลของพระองค์นั้นทรงมุ่งเน้นไปที่เป็นยุคแห่ง
ความเจริญด้านศิลปะและศาสนา ทรงเน้นเรื่องศิลปะโดยเฉพาะเครื่องลายคราม
และเรื่องศาสนาโดยเฉพาะลัทธิเต๋า โดยโปรดให้สร้างวิหารแห่งพระอาทิตย์รวมถึง
สร้างวิหารและสถาปัตรยกรรมทางศาสนาหลายแห่งรวมถึงต่อเติมหอสักการะแผ่นดิน
และฟ้า (เทียนตี้ถัน) และให้เปลี่ยนชื่อเป็น "หอสักการะฟ้า" (เทียนถัน)แต่ในรัชกาล
ของพระองค์ก็มีเหตุร้ายใหญ่อยู่ด้วย 1 อย่างคือ เกิดแผ่นดินไหวครั้งที่รุนแรงที่สุดที่
มณฑลส่านซี ในปี ค.ศ. 1556 (พ.ศ. 2099) ตรงกับปีที่ 35 ในรัชกาล มีผู้เสียชีวิตกว่า
800,000 คน
บริหารราชการแผ่นดินได้ไม่ดี เป็นคนใจดีมีเมตตา เป็นที่รักของประชาชนแต่ด้วยความมี
เมตตาของพระองค์นั้นทำให้บรรดาขุนนางนั้นหาประโยชฃน์ทุจริตมากมายขุนนางไร้
ความสามารถ หาแต่ประโยชน์
ที่เชื่อฟังพระเสาวนีย์ของพระพันปีหลวง และเป็นศิษย์ที่ดีของพระอาจารย์ ด้วยการชี้นำ
ของจางจวีเจิ้ง ทำให้แผ่นดินมีความมั่นคงอย่างมาก เงินในท้องพระคลังมีมากมาย
มหาศาล แต่เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชันษาขึ้น ทรงเริ่มมีการเบื่อหน่ายในราชการ
แผ่นดิน ทำพระองค์เสเพล สรรหาแต่ความรื่นเริง จนเกือบโดนถอดออกจากฮ่องเต้
ในรัชกาลของพระองค์ได้มีบาทหลวงคณะเยซูอิตเข้ามาที่ต้าหมิง เพื่อเผยแผ่ศาสนา
ด้วย
เกิดประชวรขึ้น เพราะพระองศ์ฝักใฝ่ในกามอารมณ์ สนมคนโปรดของจักรพรรดิหว่านลี่
ได้ส่งสาวงามไปให้จนพระองศ์ประชวร ขันทีผู้น้อยคนหนึ่งได้ถวายยาเม็ด เมื่อพระองศ์
เสวยแล้ว อาการก็ทรุดหนักลงจนสิ้นพระชนม์
ในรัชกาลมีกบฏเกิดขึ้นหลายครั้ง 1620 -1627
สถานการณ์ระส่ำระสายยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในราชสำนักจากความขัดแย้งระหว่างขันทีกับ
ขุนนางราชสำนักจีนต้องประสบภาวะภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ผู้คนขาดแคลนล้มตาย
ขุนนางในหัวเมืองฉ้อฉล ขูดรีดทรัพย์สิน กลั่นแกล้งประชาชนอย่างต่อเนื่อง ราชสำนัก
แก้ไขปัญหาไม่ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้างจนก่อเกิดเป็นกบฏ
ชาวนาหลี่จื้อเฉิง อดีตนายทหารผู้น้อย เริ่มรวบรวมสมัครพรรคพวกก่อการต่อต้านราช
สำนักขึ้นจนสามารถยึดเมืองซีอานได้และเข้าปิดล้อมปักกิ่งได้อย่างรวดเร็วทหารหลวง
ของหมิงไม่สามารถต้านทานได้ จนขันทีแอบเปิดประตูเมืองให้หลี่จื้อเฉิงเข้ามาได้ล้ม
ราชวงศ์หมิงลงจักรพรรดิฉงเจินเสด็จหนีขึ้นไปยังเขาเจียงซาน ด้านเหนือของพระราชวัง
หลวง และผูกพระศอองค์เองกับต้นไม้ สวรรคตขณะมีพระชนมายุสามสิบสี่ชันษาและ
เป็นเหตุให้ อู๋ ซานกุ้ยที่โดนหลี่จื้อเฉิง คุกคาม ขณะนั้นอู๋ ซานกุ้ยเป็นแม่ทัพใหญ่รักษา
ด่านซันไห่กวนอันเป็นด่านหนึ่งของกำแพงเมืองจีน เป็นด่านสำคัญที่ป้องกันการรุกราน
จากศัตรูทางทิศเหนือของปักกิ่ง อู๋ ซานกุ้ยไร้ทางเลือกจึงเปิดพด่านให้แมนจูเข้ามาปราบ
หลี่จื้อเฉิงได้สำเร็จและได้เข้ามาปกครอง จีนต่อจากราชวงศ์หมิงเป็นเหตุให้ราชวงศ์หมิง
อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่เป็นชาวฮั่นที่ปกครองจีนมานานกว่า 4,000 ปี ต้องล่มสลายลง
อู๋ ซานกุ้ยจึงได้รับราชการในแผ่นดินแมนจูต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผิงซีอ๋อง ปกครอง
มณฑลยูนนาน ชายแดนทางตอนใต้ ในรัชสมัยฮ่องเต้ซุ่นจื้อจักรพรรดิองค์ที่ 3 ของ
ราชวงศ์ชิงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ได้ประทับในพระราชวังต้องห้ามที่กรุงปักกิ่ง
และราชวงศ์หมิงถึงกาลสิ้นสุดอย่างแท้จริง