เสียดินแดนครั้งที่ 13 หัวเมืองมลายู





รัฐกลันตัน ตรังกานู ปะลิส และไทรบุรี


   ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 80,000 ตร.กม. ในปี 2451 เป็นการแลกเปลี่ยนกันระหว่างสยาม

กับอังกฤษ การเสียดินแดนครั้งนี้ค่อนข้างจะดูเบากว่าครั้งอื่นๆเนื่องด้วยความที่เอาไป

แลกกับผลประโยชน์ของสยามมากกว่าการบังคับขู่เข็ญจากทางฝรั่งเศส 


ดินแดนนี้แลกกับอำนาจศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษ หรือคนใน

ปกครองของอังกฤษสามารถดำเนินคดีโดยศาลไทยได้โดยไม่ต้องผ่านกงศุลอังกฤษซึ่ง

จะทำให้คนไทยเสียเปรียบในเวลาเกิดเรื่องคดีความฟ้องร้องกันขึ้นและทางไทยหรือ

สยามในขณะนั้นตัดสินใจยก 


รัฐกลันตัน ตรังกานู ปะลิส และไทรบุรี เพราะเหตุใด


1. เพื่อขอกู้เงิน มาสร้างทางรถไฟสายใต้จากเพชรบุรีลงไปจนถึงชายแดนมลายู เพื่อ

ติดต่อกับดินแดนปลายแหลมมลายูทั้งหมด


2. เป็นการปลดหนี้สินที่ทางสยามมีอยู่กับจักรวรรดิอังกฤษนั้นทางหัวเมืองมลายูเหล่านั้น

จะเป็นคนชดใช้เอง


3. เพื่อแลกกับอำนาจศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในดินแดนไทย

หลังจากเสียเปรียบในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่เคนทำไว้กับอังกฤษ


4.ซักวันนึงดินแดนเหล่านั้นอังกฤษก็ต้องหาทางเอาไปไม่ทางใดก็ทางนึงแทนที่จะให้

เขาเอาไปแบบเสียเปล่าก็ชิงยกมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับทางอังกฤษเสียเลย


5.ดินแดนเหล่านั้นมักเกิดกบฎขึ้นอยู่บ่อยๆแถมยังไกลยากต่อการที่ทัพใหญ่จากทาง

กรุงเทพจะไปปราบปรามได้สะดวก

สนธิสัญญาเบาว์ริง 

ซึ่งดูแล้วเป็นการตัดปัญหาในดินแดนเหล่านั้นไปโดยปริยายเมื่อส่งมอบให้อังกฤษแถม

ยังได้ประโยชน์กลับมาให้ประเทศชาติอาจจะดูเสียหน้าที่ต้องเสียแผ่นดินไปบ้างแต่ถ้า

เทียบกับประโยชน์ที่ชาติจะได้รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่และเป็นการป้องกันที่จะเสีย

ดินแดนเหล่านั้นไปแบบฟรีๆที่ไม่ได้อะไรเลยถือว่าการเสียดินแดนครั้งนี้มีประโยชน์กับ

ทางสยามไม่ทางใดก็ทางนึงอยู่พอสมควร แถมยังได้ยกเลิกอนุสัญญาลับปี พ.ศ.2440

ที่ไทยเสียเปรียบต่ออังกฤษมานานซึ่งข้อแลกเปลี่ยนนี้นำเสนอโดย นายเอ็ดเวิร์ด สโตรเบล

ที่ปรึกษาราชาแผ่นดินชาวอเมริกันซึ่งทำให้ไทยได้เงินกู้จากอังกฤษจำนวน 4-5 ล้านปอนด์

โดยที่จ่ายดอกเบี้ยต่ำระยะชดใช้ประมาณ 40 ปี  การลงนามในสัญญาสำเร็จขึ้นในวันที่ 10

มีนาคม 2451 เป็นการเสียดินแดนครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ 5