Soft Power คืออะไร





Soft Power คืออะไร

Soft Power คืออะไร หรือ อำนาจอ่อน ซอฟท์พาวเวอร์ เป็น อำนาจที่ไม่ใช่

การบีบบังคับไม่มีผลในทางผู้ที่ถูกกระทำใส่รู้สึกขัดข้องหมองใจ เป็นเรื่องของ

กระแสและความนิยมชมชอบมักใช้คำเหล่านี้ในทางการต่างประเทศหรือเรื่อง

ระหว่างประเทศซะส่วนใหญ่ อารมณ์การมีประโยชน์ร่วมกัน ซอฟท์ พาวเวอร์

ที่สำคัญอย่างนึงเลย คือเรื่อง วัฒนธรรม เช่น ศิลปะ ดนตรี ภาษา อัตลักษณ์

ประจำชาติ ที่สามารถแผ่ขยายไปทั่วโลกหรือตามประเทศต่างๆโดยประเทศใด

ประเทศนึง อย่าง ดารา นักกีฬา คนดังของไทย ก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

Soft Power
Soft Power คืออะไร


ซอฟท์ พาวเวอร์ของไทย ที่มีแต่ประเทศในอาเซียนรอบข้าง

ไทยมี Soft Power อะไรต่ออาเซียนบ้าง เช่น หนัง ดนตรี ค่าเงิน สินค้า วัฒนธรรม

วิถีชิวิตการแต่งกายเครื่องแบบต่างๆ รวมไปถึง อาหารไทย  เป็นต้น ซึ่งหากเปรียบ

กับ Hard power หรือเราๆเรียกกันว่าการใช้อำนาจบาตรใหญ่ บีบบังคับ รังแกผู้อื่น 

เช่น กำลังทหาร การบีบด้วยการค้า การมีมาตราการทางเศรษฐกิจที่รุนแรง ต่อ

ประเทศที่เราต้องการ ซอฟท์พาวเวอร์ดูจะเป็นอะไรที่ดูดีขึ้นมามากและเหมาะ

กับประเทศเรามาก เพราะประเทศที่จะใช้ Hard power ได้นั้นต้องเป็นประเทศใหญ่

และมีศักยภาพ อยู่ในระดับแนวหน้าของโลกหรือของภูมิภาค อย่าง สหรัฐ จีน 

รัสเซีย ญี่ปุ่น บราซิล ซาอุ ออสเตรเลีย เป็นต้น


อำนาจอ่อน หรือ ซอฟท์พาวเวอร์ นี้ จะพูดให้เป็นทางการหน่อยคือ สิ่งที่มี

ความสามารถดึงดูดให้เชื่อสร้างการมีส่วนร่วม และความร่วมมือกันอย่างดี

ไม่รู้สึกว่าถูกบีบบังคับ ใช้สร้างการเปลี่ยนแปลงและสร้างอิทธิพลต่างๆ

อำนาจในการโน้มน้าว ดึงดูด โดยผู้ถูกกระทำไม่รู้สึกว่าโดนบังคับแต่เป็นการ

ยินยอมที่จะทำโดยไม่รู้สึกว่าขัดใจอะไร


แหล่งทรัพยากรของ Soft power มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น

1. วัฒนธรรม

2. ค่านิยมทางการเมือง

3. นโยบายต่างประเทศ

4. เครื่องแต่งกาย

5. อาหาร - อาหารไทย ก็เป็นนะ

6. เพลง สิ่งบันเทิง

7. ภาษา ใช้ในการค้าขาย สื่อสาร ระหว่างประเทศ

8. ค่าเงินบาท ก็เกี่ยวเช่นกัน

9. ลักษณะเฉพาะ หรือคำเฉพาะ เช่น การยิ้มของคนไทย หรือ พิม 555 แทนหัวเราะ

10. วิถีชีวิต อันนี้เป็นเรื่องแข็งแกร่ง เพราะการจะทำให้ใครมาสนใจรักในวิถีชีวิตได้

คนๆนั้นต้องมาอาศัย มาซึมซับ มาเรียนร้อนในเวลาที่นานพอสมควร


ซอฟท์พาวเวอร์นั้นก็สรุปได้คือเป็นเสน่ห์ในการโน้มน้าวหรือใช้เป็นเครื่องมือ

ในการให้ได้มาซึ่งผลที่พอใจ ที่จะบอกว่าพึงระวังไว้ก็ดี เพราะบางทีมันก็มา

ในรูปแบบที่เราชอบใจ แต่อาจจะมีผลเสียมากมายในด้านต่างๆด้วยเช่นกัน

สำหรับในระดับประเทศ แต่ในระดับบุคคลก็เหมือนการที่เราทำให้ใครสักคน

ติดหรือชื่นชอบชื่นชมสามารถทำให้เชื่อฟัง โน้มน้าวเขาได้มันก็เป็นเรื่องที่

ต้องระวังไว้ด้วยอย่างนึง





จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ปธน.คนแรกของสหรัฐ






จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)

จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา

จอร์จ วอชิงตัน เกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732


เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่โดดเด่นของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น

ระหว่าง ค.ศ. 1775 ถึง 1799 เขานำสหรัฐจนได้รับชัยชนะเหนือบริเตนใหญ่

ในสงครามปฏิวัติอเมริกัน (เป็นสงครามระหว่างสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่

และไอร์แลนด์ฝ่ายหนึ่ง กับสิบสามอาณานิคมอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ

อีกฝ่ายหนึ่ง)


เขาเริ่มต้นด้วยการทำอาชีพ เกษตร


ค.ศ. 1749 เขาถูกแต่งตั้งให้อยู่ในสำนักงานสำรวจ คัลเปเปอร์ เคาท์ตี้ (รัฐเวอร์จิเนียร์)

ซึ่งเป็นที่ดินแดนแห่งใหม่


ค.ศ. 1752 เมื่ออายุได้เพียง 20 ปี จอร์จ วอชิงตัน เข้าเป็นทหารมีหน้าที่ฝึกทหาร

กองหนุน


ค.ศ. 1753 วอชิงตันได้รับการร้องขอจากผู้ว่าการอาณานิคมแห่งเวอร์จิเนีย


ปี ค.ศ. 1754  จอร์จ วอชิงตัน ได้รับยศพันโทและได้เดินทางไปยังป้อม

Fort Duquesne เพื่อไปขับไล่ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส เขาจัดการทหารหน่วย

สอดแนมของฝรั่งเศสไปกว่า 30 นาย แต่เขาก็ต้องพ่ายแพ้ในสมรภูมินี้ เพราะข้าศึก

มีกำลังเหนือหว่า พื้นที่คุ้นเคยชัยภูมิดีกว่าวอชิงตันได้รับการปล่อยตัวจากพวก

แคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส และได้กลับสู่เวอร์จิเนีย


ค.ศ. 1755 วอชิงตันเป็นนายทหารผู้ช่วยของนายพลเอ็ดวาร์ด แบร็ดด็อก

แห่งอังกฤษ แต่เหตุร้าย นายพลเอ็ดวาร์ด โดนลอบสังหารในระหว่างเดินทาง

ตามประวัติเล่าว่า ในการเดินทางหรือการเดินทัพนั้นตอนที่นายพลเอ็ดวาร์ด

โดนลอบสังหารเขาเป็นผู้ขี่มาตลุยไปทั่วทุกสมรภูมิเพื่อรวบรวมกำลังรบที่เหลือ

ของอังกฤษ เพื่อที่จะเตรียมการถอยทัพ หลังจากจบเรื่องวุ่น จอร์จ วอชิงตัน

จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลชายแดนแถบเทือกเขาเวอร์จิเนีย

โดยตบรางวัลให้เลื่อนยศเป็นพันเอกผู้บัญชาการแห่งกองกำลังเวอร์จิเนีย

ทั้งหมด


ค.ศ. 1758 วอชิงตันติดยศนายพลจัตวาในคณะเดินทางของ Forbes ที่บังคับให้

ฝรั่งเศสอพยพถอนทัพออกจาก Fort Duquesne หลังจากปีนั้นเขาได้ลาออกและ

กลับไปทำไร่ของเขาเป็นเวลาถึง 16 ปี ไปเป็นนัการเมืองท้องถิ่นที่เวอร์จิเนียแทน


6 มกราคม ค.ศ. 1759 จอร์จ วอชิงตัน ได้แต่งงานกับ  มาร์ธา แดนดริดจ์ คัสทิส

ที่บ้านกลังนึงที่มีชื่อว่า ไวท์เฮาส์ (White House) ซึ่งชื่อบ้านนี้ได้กลายเป็นชื่อ

ทำเนียบขาวต่อมาในปัจจุบัน


 - วอชิงตันได้รับเลือกให้เป็นฝ่ายนิติบัญญัติของสภาประจำเวอร์จิเนีย


วอชิงตันมีบทบาทการเป็นผู้นำให้แก่ชาวอาณานิคมในการต่อต้านอังกฤษ

เกิดความขัดแย้งระหว่างอาณานิคมอเมริกันกับประเทศอังกฤษเพราะอาณานิคม

ไม่พอใจที่ถูกเรียกเก็บภาษี และปกครองโดยรัฐบาลอังกฤษ


ค.ศ. 1769 จอร์จ วอชิงตัน ได้ยื่นหนังสือข้อเสนอเรื่องการคว่ำบาตรสินค้าที่มา

จากอังกฤษ จนกว่าจะมีการยกเลิกพระราชบัญญัติทาวน์เชนด์ (ภาษีใบชา )

และในที่สุดมีนาคม 1770 ถูกบังคับให้ยกเลิก "กฎหมายทาวน์เซนด์


ค.ศ. 1774  วอชิงตันได้เห็นพระราชบัญญัติ (Intolerable Acts) ที่บีบคั้น

ลดทอนสิทธิประโยชน์ของชาวอาณานิคม โดนเฉพาะเรื่องการปิดอ่าวบอสตัน

จากกรณี Boston tea party ทำให้เขาจัดการประชุมโดยตัวเองเป็นประธาน

จนเกิดข้อตกลงแฟร์แฟ็กซ์ (Fairfax Resolves) ต่อมาเขาได้เข้าประชุม

เวอร์จิเนียครั้งที่ 1


(First Virginia Convention) และได้รับเลือกจากที่ประชุมให้เป็นตัวแทนไปประชุม

สภาอาณานิคมที่ 1 (First Continental Congress) อันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การ

ประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ


ค.ศ. 1775 ในการประชุมสภาอาณานิคมที่ 2 (Second Continental Congress)

เป็นการแสดงจุดยืนว่าเขาต้องการรบเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระภาพของเหล่า

อาณานิคมทั้งหลาย จอร์จ วอชิงตัน ได้ก่อตั้งกองทัพบกที่เรียกว่ากองทัพ

ฝ่ายอาณานิคม (Continental Army)ในวันที่ 14 มิถุนายน เขารบอยู่หลายสมรภูมิ

ส่วนใหญ่จะเสียเปรียบ


จนถึง ค.ศ. 1780 โดยคำสั่งของเขากองทัพนายพลจอห์น ซูวิลเลียน, ได้ตอบโต้

ต่อการที่ Iroquois และ Tory โจมตีชาวอาณานิคมอเมริกันในช่วงต้นของสงคราม

เป็นการรบชนะที่เด็ดขาด สามารถทำลายอย่างน้อย 40 หมู่บ้าน ในตอนเหนือ

ของนิวยอร์กและในวันสำคัญก็มาถึง วันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1781 หลังจากชัยชนะ

ของกองทัพเรือฝรั่งเศส ทำให้กำลังทัพของอังกฤษต้องถูกกักอยู่ที่เวอร์จิเนีย

ทำให้ต้องยอมแพ้


สงครามได้ยุติลง กองทักโดยการนำของ จอร์จ วอชิงตัน ได้รับชัยชนะ เป็น

ชัยชนะที่ไม่ได้มีมากครั้งแต่เป็นครั้งสำคัญที่สุดของเขา หลังจากจัดการเรื่อง

การเข้ายึดครองและปัญหาระหว่างสภา กับ นายพลในกองทัพเขาก็ได้ลาออก

จากตำแหน่งไปอยู่ที่เมานต์เวอร์นอน ในช่วงเวลาสั้นๆ ไปทำหน้าที่การเมือง

ของเขาแบบเดิมจนต่อมา ทุกคนในสภาและคณะเลือกตั้ง มีมติเอกฉันท์เลือก

วอชิงตันเป็นประธานาธิบดี และเลือกอีกครั้งในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1792

เขายังคงได้รับคะแนนอิเล็กโทรรัล โหวต 100% เหมือนเดิม


2 สมัยซ้อน ซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนจะต้องการให้เขาเป็นต่ออีกทางสภาก็เรียกร้อง

จะให้วอชิงตันเป็นต่อไปอีก แต่ทาง จอร์จ วอชิงตัน ได้ปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่ง

ประธานาธิบดีต่ออีกครั้งโดยใช้เหตุผลเรื่องสุขภาพที่ไม่ดี การที่เขาลาออกจาก

ผู้บัญชาการทหารในตอนที่ทำสงครามประกาศอิสระภาพสำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่มี

อิทธิพลน่ายกย่องมากในยุโรปเปรียบเหมือนว่า เขาไม่ได้ใช้อำนาจทางทหาร

เข้าควบคุมและอยู่ในอำนาจแล้วส่งต่อให้สภาบริหารต่อ รวมถึง การที่เขาลาออก

หลังจากดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครบวาระตามจริงก็จะหยุดตั้งแต่สมัยแรกแล้ว

แต่ทางสภาได้ขอให้เขาเป็นต่ออีกครั้ง พอหมดสาระที่สมัยที่ 2 สภาก็อยากให้เป็น

อีกแต่ วอชิงตัน รู้สึกว่าจะเป็นการกุมอำนาจบริหารมากเกินไปจึงบ่ายเบี่ยงอ้างเรื่อง

สุขภาพไม่ยอมรับตำแหน่งต่อ จึงหลายเป็นบรรทัดฐานของ ปธ.คนต่อๆไปว่า

ไม่ดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย เว้นภายหลังที่ ปธ.รูสเวลต์ ที่ช่วงนั้นมีสงครามโลก

ครั้งที่ 2 จึงต้องสมัครเข้ามาต่อเป็นสมัยที่ 3 เพื่อจะมาจัดการเรื่องสงครามโดยเฉพาะ

แต่หลังจากนั้นก็มีการแก้กฏหมายว่าห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย เรียบร้อย


จอร์จ วอชิงตัน ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ 30 เมษายน ค.ศ. 1789 – 4 มีนาคม ค.ศ. 1797


ค.ศ. 1797 วอชิงตันกลับไปยังเมานต์เวอร์นอน กลับมาทำไร่ (มีทาสทำตัวเอง

คงเป็นประมาณว่าจัดการเรื่องใหญ่ๆ ตอนนั้นยังไม่มีการเลิกทาส การเลิกทาส

อยู่ในช่วงสงครามกลางเมือง สมัยของ อับราฮัม ลินคอร์น)


จอร์จ วอชิงตัน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินนะครับ เพราะแต่งงานกับแม่ม้าย

ลูกติดมีที่ดินทรัพย์สิน มหาศาล มาตั้งแต่ก่อนเป็นผู้บัญชาการกองทัพประกาศ

เอกราชเสียอีก


วันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1799 จอร์จ วอชิงตัน เสียชีวิตช่วงเวลาหัวค่ำ เพราะเขา

เกิดเป็นหวัดหลังจาก ไปลุยหิมะ มีไข้และหลอดลมอักเสบและหลายเป็นปอดบวม

และด้วยการรักษาในสมัยนั้นทำให้เขาต้องเสียชีวิตลงด้วยวัย 67 ปี นับว่าเขาเป็น

บุคคลสำคัญคนนึงที่มีอิทธิพลต่อคนอเมริกันและผู้ปกครอง นักประชาธิปไตย

ในยุโรปเลยทีเดียวในยุคต่อๆมาด้วยเช่นกันการกระทำของเขานับว่าเป็นการ

เสียสละเพื่อส่วยรวมโดยแท้






คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)






คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) 

คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) 


 เป็นนักทำแผนที่ นักสำรวจ นักเดินเรือ และพ่อค้า เชื่อกันว่าน่าจะเป็นชาว

สาธารณรัฐเจนัว เกิดในช่วงเดือน ตุลาคม คาดว่าวันที่ 22 สิงหาคม ถึง

31 ตุลาคม ค.ศ. 1451 ที่เจนัว


ผู้เปิดโลกใหม่ ในการสำรวจดินแดนของเขาไปทั่วโลก เป็นนักสำรวจผู้

บุกเบิกการเดินทางหาดินแดนใหม่ๆรวมถึงการล่าอาณานิคมในต่างทวีป

ของชาวยุโรป


โลกใหม่ในความหมายของยุโรปคือ ทวีปอเมริกา อาจจะรวมไปถึง

โอชีเนียในปัจจุบันด้วยด้วยเขามีความเชื่อว่าโลกมีรูปร่างเป็นทรงกลม

ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งกันเป็นอย่างมากในยุคนั้นเรื่องโลกทรงกลมและ

ความเชื่อเดิมคือโลกแบบแบน โคลัมบัสจึงวางแผนที่จะเดินทางไปยัง

อินเดียตะวันออก


(East Indies)โดยเดินเรือมุ่งไปทางตะวันตก ซึ่งแผนการของเขาครั้งนี้

ได้มีการถกเถียงกันอย่างมากเนื่องจากการเดินเรือแบบนั้นมีอุปสรรค

ในหลายๆด้านอย่างเช่น เสบียงอาหาร ทั้งลมทะเล รูปแบบของมหาสมุทร

แต่ละที่ และเรือ เขาถูกปฏิเสธจาก ราชสำนักโปรตุเกม แต่ได้รับ

คำตอบรับจากสเปนแทน


คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบที่ไหนบ้างในการเดินทาง


คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบหมู่เกาะบาฮามาสและขึ้นฝั่งบนเกาะแห่งหนึ่ง

ที่เขาตั้งชื่อว่า "ซานซัลบาดอร์" ในวันที่  12 ตุลาคม  ค.ศ. 1492 ค้นพบ

หมู่เกาะเกรตเตอร์แอนทิลลิส เลสเซอร์แอนทิลลิส รวมทั้งชายฝั่งทะเลแคริบเบียน

ของเวเนซุเอลาและอเมริกากลาง คิวบา ฮิสปานิโอลา เปอร์โตริโก จาเมกา

ตรินิแดด ทำให้สเปนได้ดินแดนเหล่านั้นมาเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิสเปน

ส่งผลต่อความมั่งคั่งของสเปนเป็นอย่างมาก


คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้เกิดความขัดแย้งกับทาง ราชสำนักสเปน

จนโดนปลดออกจากตำแหน่งผู้บริหารอาณานิคมบนเกาะฮิสปันโยลา

(ปัจจุบันประกอบด้วย 2 ประเทศ คือ ประเทศเฮติทางซีกตะวันตก และ

สาธารณรัฐโดมินิกันทางซีกตะวันออก)ซึ่งเกาะนี้ โคลัมบัสเป็นคนค้นพบ

คนแรกในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1492  และถูกส่งตัวกลับมายังยุโรปโคลัมบัส

เสียชีวิตลงในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1506 (54 ปี) ที่บายาโดลิด,

ราชอาณาจักรคาสตีล (สเปนในปัจจุบัน ) และทุกวันที่ 12 ตุลาคมของทุกปี


ซึ่งเป็นวันที่เขาค้นพบโลกใหม่("ทวีปอเมริกา")ครั้งแรก

เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของการค้นพบ “โลกใหม่”

ถูกยกให้เป็น "วันโคลัมบัส"