สนธิสัญญาเบาว์ริง (สาระสำคัญ)





สนธิสัญญาเบาว์ริง  


หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยามเป็นสนธิสัญญา

ที่ทางโลกตะวันตกบีบคั้นทางสยามมาตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ตอนที่อังกฤษเข้า

ยึดพม่าและต่อมาจนถึงตอนต้นของรัชกาลที่ 4เป็นสนธิสัญญาที่ราชอาณาจักรสยาม

ทำกับสหราชอาณาจักร ลงนามเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

โดย เซอร์ จอห์น เบาว์ริง ราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

วิกตอเรียเข้ามาทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งมีสาระสำคัญในการเปิดการค้าเสรีกับต่าง

ประเทศในสยามมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศโดยเป็นทางสยาม

ที่เสียเปรียบต่ออังกฤษเป็นอย่างมาก และเสียเปรียบกว่าชาติอื่นๆในเอเชียด้วยกัน

อีกด้วยในเรื่องการเก็บภาษีจากการค้าขายกับสำเภาตะวันตก ด้วยสนธีสัญญานี้เป็น

การเปิดเสรีในการค้าขายกับชาวต่างชาติเพราะก่อนหน้านี้การค้าขายกับชาติตะวันตก

นั้นเราได้เก็บภาษีจากการค้าขายได้เป็นอย่างมากแต่เมื่อมีการบีบบังคับให้เซ็นสนธิ-

สัญญาเบาว์ริงฉบับนี้ทำให้ทางสยามเสียเปรียบด้านการค้าและสิทธิสภาพของคนใน

ปกครองของอังกฤษที่ไม่ต้องถูกดำเนินคดีโดยศาลไทยและการตั้งกงสุลอังกฤษใน

กรุงเทพรวมถึงคนอังกฤษมีสิทครอบครองที่ดินในสยามได้หากแต่ถ้าสยามไม่ยอม

ตกลงตามนี้ทางอังกฤษก็เตรียมจะเอาเรือปืนเข้ามาบุกขยี้สยามเป็นแน่แท้อย่างที่เกิด

ในพม่า สยามเห็นว่าไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมอ่อนผ่อนตามไป เราถูกบังคับทางอ้อม

จึงจำยอมต้องทำ



สาระสำคัญของสัญญา  (เอาแบบไม่ยิดยาวเข้าประเด็นนะครับ)


1.คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ ณ กรุงเทพฯหรือในสยามจะอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของ

กงสุลอังกฤษโดยทางสยามจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวทำได้เพียงช่วยเหลือจับกุมให้อังกฤษ

นับเป็นครั้งแรกที่สยามมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประชากรต่างด้าว


2.คนในบังคับอังกฤษได้รับสิทธิในการค้าขายอย่างเสรีในเมืองท่าทุกแห่งของสยาม

และสามารถพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นการถาวรได้ โดยสยามไม่ห้ามปราม

และสามารถจ้างลูกจ้างมาช่วนสร้างบ้านเรือนได้โดยไทยไม่ห้ามปราม คนในบังคับ

อังกฤษสามารถซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณดังกล่าวได้ (อาณาเขตสี่ไมล์ 

สองร้อยเส้นไม่เกินกำลังเรือแจวเดินทางในยี่สิบสี่ชั่วโมงจากกำแพงพระนคร) คนใน

บังคับอังกฤษยังได้รับอนุญาตให้เดินทางได้อย่างเสรีในสยามโดยมีหนังสือที่ได้รับการ

รับรองจากกงสุล


3.ยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือและกำหนดอัตราภาษีขาเข้าและขาออกชัดเจน


  - อัตราภาษีขาเข้าของสินค้าทุกชนิดกำหนดไว้ที่ร้อยละ 3 ยกเว้นฝิ่นที่ไม่ต้องเสียภาษี

แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษี ส่วนเงินทองและข้าวของเครื่องใช้ของพ่อค้าไม่ต้องเสียภาษี

เช่นกัน


  - สินค้าส่งออกให้มีการเก็บภาษีชั้นเดียว โดยเลือกว่าจะเก็บภาษีชั้นใน (จังกอบ 

ภาษีป่า ภาษีปากเรือ) หรือภาษีส่งออก



4.พ่อค้าอังกฤษได้รับอนุญาตให้ซื้อขายโดยตรงได้กับเอกชนสยามโดยไม่มีผู้ใด

ผู้หนึ่งขัดขวางหรือเบียดเบียน


5.รัฐบาลสยามสงวนสิทธิ์ในการห้ามส่งออกข้าว เกลือและปลา เมื่อสินค้าดังกล่าวมีที

ท่าว่าจะขาดแคลนในประเทศ


6.คนในบังคับของอังกฤษจะมาค้าขายตามหัวเมืองชายฝั่งทะเลของสยามได้แต่จะต้อง

อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯแลจังหวัดที่ระบุไว้ในสัญญา



7.ถ้าฝ่ายไทยยอมให้สิ่งใด ๆ แก่ชาติอื่น ๆ นอกจากหนังสือสัญญานี้ ก็จะต้องยอมให้

อังกฤษแลคนในบังคับอังกฤษเหมือนกัน



ไทยเสียบเปรียบอย่างไร 


 1.ไทยหรือสยามในขณะนั้นไม่สามารถดำเนินคดีแก่คนในบังคับของอังกฤษได้โดย

ตรงต้องส่งไปให้อังกฤษพิจารณาเองไทยไม่มีสิทธิในการตัดสินคดีความเลย ไทยจึง

ต้องประสบปัญหายุ่งยากที่ไม่สามารถจะตัดสิน กรณีพิพาทระหว่าง คนไทยกับคนต่าง

ชาติโดยใช้กฎหมายไทยได้



 2.รายได้ของไทยลดลงเนื่องจากากรเก็บภาษีได้น้อยลงเพราะโดนบีบให้ทำการค้า

เสรีกับอังกฤษ



 3. อังกฤษสามารถนำฝิ่นเข้ามาขายในเมืองไทยได้



 4.เป็นการริดรอนอำนาจของสยามในดินแดนหัวเมืองมลายูที่อังกฤษใช้เป็นแหล่ง

การค้าและการเดินเรือ  (จนในที่สุดก็ต้องยกให้อังกฤษแทบทั้งหมด)



 5.ควบคุมคนในบังคับในอังกฤษไม่ได้มีผลต่อการจัดการระเบียบต่างๆซึ่งทำได้ลำบาก

คนในบังคับอังกฤษที่ไปจดทะเบียนขึ้นกับอังกฤษใช้ข้อนี้ เมินเฉยต่อกฎหมายสยาม

รวมถึงเอาเปรียบคนในบังคับของสยาม



 6.ตามสนธิสัญญาเบาว์ริง ไทยได้รับเงื่อนไขให้เก็บภาษีขาเข้าได้เพียงร้อยละ 3

เท่านั้นเดิมก่อนหน้าสนธิสัญญาเบาว์ริง ไทยเคยเก็บภาษีขาเข้าจากพ่อค้าฝรั่งถึง

ร้อยละ 8



 7.ลูกค้าอยู่ในบังคับอังกฤษจะบันทุกเอาฝิ่นเข้ามา ณ กรุงเทพฯ ไม่ต้องเสียภาษี

แต่ต้องขายฝิ่นให้แก่เจ้าภาษี ถ้าเจ้าภาษีไม่ซื้อฝิ่นไว้ ให้บันทุกกลับออกไปไม่ต้อง

เสียอะไร (แหม่ๆๆๆๆ)ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ



 การยกเลิกสัญญา


เนื่องจากการที่สนธิสัญญาฉบับนี้ทางสยามเสียเปรียบจึงได้มีความพยายามเจรจาเพื่อ

ยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในบังคับอังกฤษโดยเอ็ดเวิร์ด เอช. สโตรเบล

ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวอเมริกัน เสนอให้สยามแลกหัวเมืองมลายูที่ซักวันนึงอาจจะ

ต้องเสียไปให้แก่อังกฤษไปโดยฟรีๆและการขอกู้เงิน 4 - 5 ล้านปอนด์ ในอัตราดอกเบี้ย

ต่ำเพื่อนำไปสร้างทางรถไฟสายใต้ โดยมีการลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 10

มีนาคม พ.ศ. 2451 โดยรัฐบาลสยามยอมยกหัวเมืองมลายู  -ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู

และปะลิส ตลอดจนเกาะ ใกล้เคียงให้แก่อังกฤษ เป็นการแก้ปัญหาหัวเมืองมลายูที่ห่าง

ไกลและชอบมีปัญหาในการจัดการระเบียบบ้านเมือง รวมถึงอังกฤษเองก็ฮึ่มๆเมืองแถว

นั้นอยู่เป็นระยะอาจจะต้องเสียไปซักวันสู้เสนอแลกเปลี่ยนเพื่อยกเลิกสัญญาและเอา

ปัจจัยด้านอื่นมาสร้างประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองจะดีกว่า