แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สงคราม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สงคราม แสดงบทความทั้งหมด

สงครามครูเสดครั้งที่ 1 First Crusade

 


สงครามครูเสดครั้งที่ 1 First Crusade


สงครามครูเสดครั้งแรก (ค.ศ. 1095-1102) 


สงครามครูเสดครั้งที่ 1 First Crusade


โดยกองกำลังยุโรปตะวันตกเพื่อยึดเมืองเยรูซาเลมและดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากการควบคุมของ

ชาวมุสลิมเกิดขึ้นโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 Urban II  สนับสนุนคำร้องขอความช่วยเหลือ

ทางทหารของไบแซนไทน์


จักรพรรดิไบแซนไทน์ อเล็กซิออส ที่ 1 โคมเนนอส ร้องขอการสนับสนุนทางทหารจากสภาปิอาเซนซา

ในความขัดแย้งของจักรวรรดิกับพวกเติร์กที่นำโดยเซลจุค ที่ยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาเป็นเวลา

หลายร้อยปีแล้วสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 สนับสนุนคำร้อง และยังเรียกร้องให้ชาวคริสต์

ที่ซื่อสัตย์เดินทางไปแสวงบุญด้วยอาวุธไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อช่วยเหลือชาวไบแซนไทน์และ

ปลดปล่อยเมืองเยรูซาเล็ม 


รวมตัวกันครั้งแรกในกรุงคอนสแตนติโนเปิลในฤดูใบไม้ร่วงปี 1096 คาดว่าจะมีจำนวนมากถึง 100,000 นาย

 พวกเขาปิดล้อมจักรวรรดิไนเซีย ขณะที่คิลิจ อาร์สลาน (Kilij Arslan) ไม่อยู่ทางเมืองจึงยอมจำนน 

ต่อมาก็เอาชนะกองทัพที่นำโดย คิลิจ อาร์สลัน ที่ใกล้เมือง Dorlyaeum ยุทธการที่ดอริเลอุมเกิดขึ้นระหว่าง

สงครามครูเสดครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1097 ระหว่างกองกำลังครูเสดและเซลจุคเติร์ก

ใกล้เมืองDorlyaeum ในอนาโตเลีย โดยต่อสู้กับนักธนูขี่ม้าเกราะเบาชาวตุรกีพวกครูเสดได้รับชัยชนะ

พวกคริสเตียนต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนในการข้ามอนาโตเลียในช่วงฤดูร้อน 


ในเดือนตุลาคมพวกเขาก็เริ่มการปิดล้อมเมือง แอนติออก Antioch  โดยยึดเมืองได้ในเดือนมิถุนายน 

ค.ศ. 1098 กรุงเยรูซาเล็มซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของฟาติมียะห์ (รัฐเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ ) 


เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1099 ปิดล้อมกรุงเยรูซาเลมส่งผลให้เมืองถูกยึดครองโดยการโจมตีตั้งแต่วันที่ 

7 มิถุนายน จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1099 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวเมืองถูกสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม 

การสู้รบใน Battle of Ascalon 


สมรภูมิแอสคาลอน เกิดขึ้นในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1099 กองทัพครูเสดเปิดฉากโจมตีกองทัพฟาติมียะห์

ที่ยังคงหลับใหลอยู่ในช่วงรุ่งเช้าพวกครูเสดสามารถเอาชนะทหารราบอย่างรวดเร็ว ทหารม้าฟาติมียะห์

แทบไม่มีส่วนช่วยในการสู้รบเลยการต่อสู้จบลงในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง อัศวินแห่งสงครามครูเสดมาถึง

ใจกลางค่ายสังหารหมู่ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิต หลักหมื่นคน


ความพยายามครั้งแรกของชาวมุสลิมในการยึดเยรูซาเลมกลับคืนมาจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

พวกเขากลับมายังกรุงเยรูซาเล็มในวันที่ 13 สิงหาคม ซึ่งเป็นการสิ้นสุดสงครามครูเสดครั้งแรก 

หลังจากนั้น นักรบครูเสดส่วนใหญ่ก็กลับบ้าน รัฐผู้ทำสงครามครูเสดสี่รัฐได้รับการสถาปนาขึ้น

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ อาณาจักรเยรูซาเลม Jerusalem เทศมณฑลเอเดสซา Edessa

ราชรัฐอันติโอก Principality of Antioch และเทศมณฑลตริโปลี Tripoli 


มีอัศวินเพียง 300 นายและทหารราบ 2,000 นายเท่านั้นที่ยังคงปกป้องกรุงเยรูซาเล็ม มีหลายคนที่

กลับบ้านก่อนจะถึงกรุงเยรูซาเล็มผู้รอดชีวิตจากการไปถึงกรุงเยรูซาเลมได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นวีรบุรุษ





สงครามครูเสด (Crusades)

 


สงครามครูเสด (Crusades)

สงครามครูเสด (Crusades)


เป็นการพูดถึงการทำสงครามระหว่างศาสนาไม่ว่าจะเป็นแค่ต่างนิกาย ต่างพวกกัน แต่ส่วนใหญ่ตามที่

เข้าใจกันนั้นมักจะหมายถึงการทำสงครามระหว่าง ศาสนจักรคาทอลิก กับ อิสลาม มีเป้าหมายของสงคราม

คือการเถลิงอำนาจเชิดชูศาสนาและนิกายตัวเองให้เฟื่องฟูเจริญในดินแดนอารยธรรมที่สำคัญ ทั้งทาง

เส้นการค้า เมืองสำคัญของฝั่งตรงข้าม ซึ่งในความหมายนี้จะพูดถึงเมือง เยรูซาเล็มเป็นส่วนใหญ่เยรูซาเล็ม

เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ความ ขัดแย้งเกี่ยวพันกับ  3 ศาสนา คือ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนา

อิสลาม คริสต์ศาสนิกชน เยรูซาเล็มเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่และมีการแย่งชิงกัน ระหว่าง คริสต์ และ

 อิสลามกันมายาวนานหลายครั้ง ทั้งในด้านของผู้ปกครองของอาณาจักรที่นับถือทั้งศาสนาคริสต์และ

อิสลามพยายามเข้ามาทำสงคราม แย่งชิงความเป็นใหญ่ สงครามครูเสดเกิดเมื่อเซลจุคเติร์กมีชัยชนะ

อย่างเด็ดขาดเหนือกองทัพไบแซนไทน์เมื่อ ค.ศ. 1071 และตัดการเข้าถึงเยรูซาเล็ม ของคริสเตียน 

จักรพรรดิไบแซนไทน์ อเล็กซิสที่ 1 ทรงเกรงว่าทางเอเชียไมเนอร์ทั้งหมดจะถูกรุกราน พระองค์จึงทรง

เรียกร้องให้เหล่าผู้นำคริสเตียนตะวันตกและ สันตะปาปา ออกโรงมาช่วยเหลือกรุงคอนสแตนติโนเปิล

โดยการไปจาริกแสวงบุญหรือทำสงครามศาสนาเพื่อที่จะปลดปล่อยกรุงเยรูซาเล็มจากการปกครอง

ของมุสลิมอีกประการนึงคือการรุกรานเบียดเบียน ศาสนาคริสต์และทำลายศาสนสถานที่ศักสิทธิ์

จำนวนมาก การทำสงครามครูเสด เชื่อว่าเป็นความชอบธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย ในการปกป้องศาสนา 

ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ความเจริญของตัวเอง มักนำมาใช้ปลุกระดมโดยเฉพาะเรื่องความเชื่อและการปกป้อง

"ครูเสด" มาจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึง การยกกางเขนขึ้น 


สงครามครูเสด (Crusades)


สงครามครูเสดมีกี่ครั้ง 



 สงครามครูเสดมีทั้งหมด 9 ครั้ง (แล้วแต่บางที่จะนับ 8 จะรวมครั้งที่ 8 และ 9ไว้ด้วยกัน )



สงครามครูเสดครั้งที่ 1 ปี ค.ศ. 1095 - ค.ศ. 1099 



 นำโดย โรเบิร์ต เคอร์โธส ดยุกแห่งนอร์มังดีในที่สุดเมื่อปี 1099 กองทัพฝั่งคริสต์สามารถเอาชนะฝ่ายเติร์ก

ได้ถึงแม้ว่ากองทัพฝ่ายมุสลิมจะสู้อย่างเข้มแข็งแต่ก็ไม่สามารถต้านทานกำลังของชาวคริสต์ได้ท้ายที่สุด

นักรบครูเสดก็บุกฝ่าเข้าไปผลของสงครามครูเสดนั้น ทำให้ยุโรปเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมากมาย การ

ทำการค้าการไปมาหาสู่ติดต่อกันดีขึ้นทำให้เกิดประโยชน์มากมายแก่ คนโดยทั่วไป





สงครามครูเสดครั้งที่ 2  (1147–1149)



ครั้งสำคัญครั้งที่สองที่เริ่มจากยุโรปในปี ค.ศ. 1145 ในการโต้ตอบการเสียอาณาจักรเอเดสสาซึ่งเป็นหนึ่ง

ในนครรัฐครูเสดในปีก่อนหน้านั้น นำโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าคอนราดที่ 3 แห่ง

เยอรมนี พร้อมด้วยการสนับสนุนของขุนนางสำคัญต่างๆ ในยุโรป กองทัพของทั้ง 2 พระองค์นั้น เดินทาง

แยกกันไปคนละทางแต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ให้แก่เซลจุคเติร์กครูเสดครั้งที่ 2 จบลงด้วยความล้มเหลว

เป็นชัยชนะของฝ่ายมุสลิม และเป็นสงครามที่นำไปสู่การเสียกรุงเยรูซาเล็ม 





สงครามครูเสดครั้งที่ 3  (1187–1192) 



เป็นสงครามกู้หน้าจากความพ่ายแพ้อันย่อยยับในครั้งที่แล้วของผู้นำทางฝั่งยุโรป และพยาเอาดินแดน

ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาภายใต้การนำของ ศอลาฮุดดีน ( ซาลาดิน ) แม่ทัพของฝั่งอิสลาม ผู้ใช้อำนาจใน

การลดอำนาจของรัฐคริสเตียนและยึดเยรูซาเลมในปี ค.ศ. 1187 โดยการนำของ สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 2

 แห่งอังกฤษและ พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศส แต่ภายหลังพระเจ้าเฮนรีที่ 2 เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ.

 1189ผู้นำฝ่าย อังกฤษต้องเปลี่ยนไปเป็น สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษแทน  สมเด็จพระจักรพรรดิ

ฟรีดริชที่ 1 แห่งโรมันที่มีกองทัพขนาดมหึมาก็ทรงนำทัพไปแต่พระองค์ทรงจมน้ำตายไปอีกคน

สงครามครั้งนี้เกิดความขัดแย้งกันเองของทางฝั่งคริสเตียน การยึดคืนครั้งนี้ไม่สามารถทำได้สำเร็จ

แต่ก็มีการทำข้อตกลงสัญญาว่า ผู้แสวงบุญของคริสตจักร ที่ไม่พกพาอาวุธสามารถเข้าไปแสวงบุญ

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็ยังถือว่าสงครามครูเสดครั้งนี้ กองทัพผสมฝั่งคริสเตียนล้มเหลวไม่สามารถ

ยึดดินแดนคืนจาก ซาลาดิน ผู้นำปกครองของเมืองเยรูซาเล็ม





สงครามครูเสดครั้งที่ 4  (1202–1204)



จุดประสงค์แรกของสงครามก็เพื่อยึดเยรูซาเลมคืนจากมุสลิม แต่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1204 นักรบครูเสด

จากยุโรปตะวันตกก็เข้ารุกรานและยึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลที่เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์

ของอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์แทนที่ ซึ่งถือกันว่าเป็นวิกฤติการณ์สุดท้ายที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่าง

คริสต์ศาสนจักรตะวันออกและตะวันตก (East-West Schism) ระหว่างอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ และ

 โรมันคาทอลิก






สงครามครูเสดครั้งที่ 5 (1217–1221)  



พยายามยึดเยรูซาเล็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดคืนโดยเริ่มด้วยการโจมตีรัฐมหาอำนาจของอัยยูบิด

ในอียิปต์โดยการนำของเลโอโปลด์ที่ 4 ดยุคแห่งออสเตรีย  และ สมเด็จพระเจ้าแอนดรูว์ที่ 2 แห่งฮังการี

 แต่ต้องหันทัพกลับเพราะเสบียงร่อยหรอลง ไม่ได้รับชัยชนะตามเคยแม้จะตียึดเมืองท่าดามิเอตตาได้แล้ว

 และกำลังจะเข้าตีไคโร ก็ตาม





สงครามครูเสดครั้งที่ 6 (1228–1229)



สมเด็จพระจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 เป็นผู้นำและมีบทบาทมากที่สุดในสงครามครั้งนี้ แต่ก็มีทั้งบทบาทภายใน

ของโป๊ปพระสันตะปาปาเกรกอรีทำให้ไม่สามารถกู้ดินแดนได้สำเร็จ




สงครามครูเสดครั้งที่ 7  (1248–1254) 




สงครามครูเสดครั้งที่ 8 และ 9    (1270-1272)



ครั้งนี้เริ่มขึ้นโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1270  สุลต่านมามลุคไบบาร์เข้าโจมตีอาณาจักร

ครูเสดที่ยังเหลืออยู่และเดินทัพขึ้นไปทางเหนือถึงอาร์มีเนียซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของมองโกล

 เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่รวบรวมกองกำลังเพื่อเข้าร่วมในสงครามครูเสด ต่อมา

พระเจ้าหลุยส์เองก็เสด็จสวรรคตชาร์ลส์จึงกลายเป็นผู้นำของสงครามครูเสด แต่กองทหารก็เกิดโรคร้าย

ทำให้ต้องยุติสงครามลงโดยการตกลงกับสุลต่าน ในข้อตกลงนี้ฝ่ายคริสเตียนสามารถทำการค้าขายอย่าง

เสรีกับตูนิสได้ และที่พำนักสำหรับนักบวช ในเมืองก็ได้รับการการันตี ฉะนั้นสงครามครูเสดครั้งนี้จึงถือว่า

ได้รับความสำเร็จอยู่บ้าง 



สงครามครูเสดครั้งที่  9   เกิดหลังจากครั้งที่ 8 ไม่นานเป็นสงครามครูเสดครั้งสุดท้าย ที่เกิดขึ้นระหว่าง

ปี ค.ศ. 1271 – ค.ศ. 1272 เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งอังกฤษก็เสด็จไปเอเคอร์เพื่อเข้าร่วมในสงครามครูเสด

ครั้งที่ 9 แต่เป็นสงครามที่ทางฝ่ายคริสเตียนพ่ายแพ้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพลังใจในการที่จะ

ดำเนินการสงครามเหือดหายไป ซึ่งเป็นการเสียที่มั่นสุดท้ายของครูเสด ผลของสงครามก็นำมาซึ่งการ

ล่มสลายของที่มั่นต่างๆ ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนไปด้วยในขณะเดียวกัน





มีสงครามครูเสดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งมี

สงครามใหญ่ๆเกิดขึ้นถึง 9 ครั้ง และยังมีสงครามย่อยๆเกิดอีกหลายครั้ง เช่น ครูเสดชาวบ้าน ,

ครูเสดลิโวเนีย ,ครูเสดแอลบิเจนเซียน,ครูเสดปรัสเซีย,ครูเสดตอนเหนือ ,



สงครามออตโตมัน-ฮังการี   สงครามครูเสดทำให้พวกตะวันตกได้รับความรู้ใหม่ๆหลายอย่างจากพวก

มุสลิม เพื่อนำมาพัฒนาวิทยาการต่างๆมากมายเพื่อเอาไปสู้ กับมุสลิมอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถ

เอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้เพราะความแข็งแกร่งของอาณาจักรทางฝั่งมุสลิมสมัยนั้น


ด้วยอีกประการและความที่ คริสต์ ไม่เคยได้สู้แบบผู้นำทัพที่มีอำนาจบัญชาการกองทัพเดี่ยว

เหมือนในครั้งแรกการลำเลียงเสบียงส่งกำลังบำรุงไม่ดี การแวะไปตีทางนู้นทีนี้ทีเหมือนไปแสวง

หาดินแดน ความร่ำรวยซะมากกว่า เป้าหมายที่จะไปทำให้สำเร็จจริงๆเลยไม่สำเร็จเท่าครั้งแรกเลย

ซักทีมีเหตุให้ต้องพ่ายแพ้ไปตลอด










กษัตริย์พม่าที่รบกับไทย






กษัตริย์พม่าที่รบกับไทย



  กษัตริย์พม่าที่รบกับไทยเป็นบทความที่พยายามรวบรวมกษัตริย์พม่าที่เข้ามาทำศึก

กับอยุธยาหรือไทยในทุกๆรัชกาล เพื่อนำไว้เป็นความรู้รอบตัวด้วยว่าพม่าและไทย

ทำสงครามกันในสมัยของกษัตริย์พม่าองค์ใดกันบ้างด้วยคำอธิบายเล็กๆน้อยๆหลัง

รายพระนามกษัตริย์พม่า  (เป็นการรวบรวมขึ้นมาเองโดยผู้เขียนถ้าผิดพาดหรือตก

หล่นประการใดขอภัยท่านผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วย) สงครามพม่ารบไทย

กองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้าสู่กรุงหงสาวดี


1. พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ : ทรงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจ

เพราะตลอดรัชกาลพระองค์ทำสงครามเป็นส่วนใหญ่ อยูะยาแน่นอนก็เคยโดนบุก

มาแล้วน่าจะจำกันได้ก็สงครามที่ฝ่ายอยุธยาต้องเสียสมเด็จพระสุริโยทัย ในการ

ทำสงครามระหว่างอาณาจักรตองอูกับอาณาจักรอยุธยา


2. บุเรงนอง : ผู้พิชิต พิชิตอาณาจักรอยุธยา ล้านนา ล้านช้าง มณีปุระ ไทใหญ่

พระองค์ถือเป็นหนึ่งในสามมหาราชพม่าพร้อมด้วยพระเจ้าอโนรธามังช่อและ

พระเจ้าอลองพญา  พระเจ้าบุเรงนองยังถือว่าเป็นกษัตริย์นักปกครองและบริหารที่

เก่งกาจมีความสามารถในการสงครามและการปกครองอย่างดี


3. พระเจ้านันทบุเรง : เป็นพระราชโอรสพระองค์โตของพระเจ้าบุเรงนอง ผู้ที่

หมายจะจับตัวพระนเรศวรเป็นกลับไปอีกครั้งแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้จนในช่วงท้าย

ของชีวิตนั้นพระเจ้านันทบุเรงได้ทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยาหลายต่อหลายครั้ง

เพื่อปราบปรามอยุธยาลงให้ได้ประเทศราชอื่นๆจะได้ไม่แข็งเมืองตาม ที่น่าจะจด

จำกันได้คือโอรสของพระองค์คือ มังสามเกียดหรือพระอุปราชที่มาทำยุทธหัตถีกับ

สมเด็จพระนเรศวร และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนถึงขั้นสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง


4. พระเจ้าอโนเพตลุน หรือ พระเจ้าอังวะมหาธรรมราชา : เคยทำศึกที่ทวาย

และเลยไปตีที่ตะนาวศรีของอยุธยาได้สู้รบกันกับอยุธยาแล้วแพ้ไปรวมทั้งไปทำศึก

ที่ล้านนาเพื่อจัดการความวุ่นวายเสร็จหลังจากนั้นอยุธยาก็ยกทัพไปล้านนาล้านนา

ก็กลับไปเข้าข้างไทยและไล่ขุนนางพม่าไปหมด


5. พระเจ้าปเย (พระเจ้ามหาสีหสุรสุธรรมราชา) : เป็นรช่วงเดียวกับรัชสมัย

ของ  สมเด็จพระนารายณ์ และในสมัยของพระเจ้าปเยนั้นก็ได้รับศึกจากอยุธยา

ที่สมเด็จพระนารายณ์นั้นได้สั่งให้ยกเข้ามาตีอังวะเพื่อแก้แค้นที่กองทัพพม่ายก

ทัพเข้ามาติดตามครอบครัวชาวรามัญที่หนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารครั้งนั้น

พระองค์โปรดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพไปตีเมือง

ทวาย เมืองเมาะตะมะ แต่สุดท้ายด้วยขัดสนซึ่งเสบียง ทหารเจ็บป่วยเป็นไข้กัน

มากมายจึงได้ยกทัพกลับ


6. พระเจ้าอลองพญา : ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์คองบอง สามารถรวบรวมบ้าน

เมืองให้เป็นปึกแผ่น ปราบปรามมณีปุระ กอบกู้ล้านนาคืนจากอยุธยา ฟื้นฟูอาณา-

จักรหงสาวดีทรงเป็นกษัตริย์พม่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 1 ใน 3 พระองค์ ร่วมกับ พระเจ้า

อโนรธามังช่อ และ พระเจ้าบุเรงนอง พระเจ้าอลองพญา สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง

กลับจากการทำสงครามกับอยุธยา ตามพงศาวดารไทยระบุว่าสิ้นพระชนม์เพราะ

ปืนใหญ่แตกที่วัดหน้าพระเมรุ แต่ทางพงศาวดารพม่าระบุว่าสิ้นพระชนม์เพราะ

ประชวร (พระองค์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุดท้ายของพม่าอีกด้วย)


7. พระเจ้ามังระ :  เป็นพระโอรสองค์ที่ 2 ในจำนวน 6 พระองค์ของพระเจ้าอลอง-

พญาส่งกองทัพนำโดยเนเมียวสีหบดีและมังมหานรธาเข้ามาปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา

นานถึง 1 ปีกับสองเดือน แม้ถึงฤดูน้ำหลากก็ไม่หนี ก็สามารถเข้าตีพระนครได้ทำให้

เสียกรุงเป็นครั้งที่ 2 นับว่าเป็นสงครามพม่ารบไทย และทำให้ไทยยับเยินที่สุดนับ

ตั้งแต่มีสงครามมา


8. พระเจ้าจิงกูจา :  พระโอรสของพระเจ้ามังระ ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชันษา

เพียง 19 ปี พระเจ้าจิงกูจาต้องการรักษาอำนาจในล้านนาเอาไว้จึงส่งทัพเข้ามาช่วย

คนของพระองค์ที่ดูแลเชียงใหม่อยู่ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่ไทย ทางไทยจึงให้ทิ้ง

เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองร้างไม่มีประโยชน์อันใดเสียเพื่อภายหลังจะได้ไม่ต้อง

แย่งชิงกัน เชียงใหม่จึงกลายเป็นเมืองร้างอยู่ถึงประมาณ 15 ปี และหลังจากนั้น

ไทยกับพม่าก็ว่างสงครามกันมาเป็นเวลา 8 ปีเลยทีเดียว ( เชียงใหม่เคยร้าง 15 ปี

ถือว่าเป็นความรู้รอบตัวที่ดีเลยครับ อ่านมาจากหนังสือไทยรบพม่าครับ)


9. พระเจ้าปดุง : ขึ้นครองราชย์โดยการปราบดาภิเษกในปี พ.ศ. 2325 ปีเดียวกับ

การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ทรงทำสงครามกับไทยมากมายหลายครั้งทั้งศึกเล็ก

จนไปถึงศึกใหญ่อย่างสงคราม 9 ทัพนับว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงทำสงครามกับ

ไทยมากพระองค์นึงเลยทีเดียวผลัดแพ้ชนะในศึกเล็กๆกับไทยตลอดแต่ศึกใหญ่นั้น

ก็ยังไม่สามารถล้มไทยลงได้เลย พระองค์จึงไม่สามารถสร้างประวัติศาตร์ให้จารึก

ได้ว่าล้มสยามลงได้ ทั้งๆที่พยายามอยู่หลายครั้งก็ตามแต่


10. พระเจ้าจักกายแมง : ในสมัยเดียวกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า-

นภาลัย กับ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ไทยช่วยอังกฤษรุกรานพม่าผลสรุป

สุดท้ายพระเจ้าจักกายแมงก็ต้องขอยอมแพ้หลังจากโดนตีถอยร่นเรื่อยๆจนถึง

อังวะ








ความหมายธงชาติฟิลิปปินส์ และภาวะการสงคราม






ความหมายธงชาติฟิลิปปินส์ และภาวะการสงคราม


ธงชาติฟิลิปปินส์ นั้นมีสัดส่วน 1:2

 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1898

ธงมีลักษณะ ดังนี้


สาระน่ารู้ :  ลักษณะคล้ายธงข้างต้น แต่สลับเอาสีแดงขึ้นมาไว้ข้างบนส่วนสีน้ำเงิน

อยู่ข้างล่าง เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าประเทศอยู่ในภาวะสงครามธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า

แบ่งตามยาว ครึ่งบนสีน้ำเงิน ครึ่งล่างสีแดง ที่ด้านคันธงเป็นรูปสามเหลี่ยมสีขาว

ภายในมีรูปดวงอาทิตย์มีรัศมี 8 แฉก ล้อมด้วยดาวห้าแฉกสีทอง 3 ดวงออกแบบ

โดย เอมีลีโอ อากีนัลโด (ผู้ซึ่งต่อมาจะได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกแห่ง

สาธาณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 1 และธงชาติ ฟิลิปปินส์ผืนแรกถูกเย็บขึ้นโดยมาร์เซลา

มารีโญ เด อากอนซีญา โดยมีลอเรนซา ผู้เป็นลูกสาวของเธอและเดลฟีนา

เอร์โบซา เด นาตีวีดัด หลานสาวของ โฮเซ รีซัล เป็นผู้ช่วยเย็บธงเป็นธงที่มี

พัฒนาการจากการต่อต้าน การปกครองของสเปนในฟิลิปปินส์และเป็นการปู

ทางสู้การปฏิวัติ ซึ่งเปลี่ยนแปลงตามแบบใกล้เคียงมาเรื่อยๆจนมาถึงธงประจำตัว

ของปีโอ เดล ปีลาร์ และ ธงประจำตัวของเกรกอรีโอ เดล-ปีลาร์ ดูวิวัฒนาการ

ธงในอดีตของ ฟิลิปปินส์


ความหมายของธงชาติฟิลิปปินส์ คือ


ต้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมสีขาว ภายในมีรูปดวงอาทิตย์รัศมี 8 แฉก ล้อมด้วย

ดาวห้าแฉก 3 ดวง ตามมุมของรูปสามเหลี่ยมรูปเหล่านี้เป็นสีทอง ส่วนทีเหลือ

ของธงนั้นเป็นแถบแบ่งครึ่งตามด้านยาวของธง ครึ่งบนพื้นสีน้ำเงินครึ่งล่างพื้น

สีแดง

- สามเหลี่ยมสีขาวเป็นเครื่องหมายแทนความเสมอภาคและภราดรภาพ


- พื้นสีน้ำเงินหมายถึงสันติภาพ สัจจะ และความยุติธรรม


- พื้นสีแดงหมายถึงความรักชาติและความมีคุณค่า


- รูปดวงอาทิตย์มีรัศมีแปดแฉกหมายถึงแปดจังหวัดแรกของประเทศ

อันได้แก่  จังหวัดบาตังกาส, จังหวัดบูลาคัน, จังหวัดคาวิเต,จังหวัดลากูนา,

จังหวัดมะนิลา, จังหวัดนูเอวา เอคิยา, จังหวัดปัมปังกา

 และจังหวัดตาร์ลัค(ซึ่งเป็นจังหวัดที่พยายามเรียกร้องอิสระภาจากสเปน และเป็น

เขตที่สเปนใช้กฏอัยการศึก)


- ดาวสามดวงหมายถึงหมายถึงการแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศออก

เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ เกาะลูซอน เกาะมินดาเนา และหมู่เกาะวิสายันในปี

ค.ศ. 1899 ธงชาติฟิลิปปินส์จึงได้ถูกชักขึ้นในลักษณะที่กลับเอาสีแดงขึ้น

ด้านบนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1899เพื่อประกาศว่าประเทศได้

เข้าสู่ภาวะสงคราม ผลสงครามจบลงด้วยการที่ประธานาธิบดีเอมีลีโอ อากีนัลโด

ถูกฝ่ายสหรัฐอเมริกาจับเป็นเชลย