FOMO คือ FOMO ย่อมาจาก
FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out หมายถึง อาการ "กลัวตกกระแส" หรือ "กลัวพลาด"
“ความกลัวที่จะพลาด” ซึ่งเป็นภาวะทางจิตใจที่ทำให้คนรู้สึกวิตกกังวลว่าจะตกกระแสหรือพลาดโอกาสดี ๆ
ที่คนอื่นกำลังมีอยู่ กลัวตกข่าวหรือเทรนด์ ซื้อของเพราะกลัวพลาด ลงทุนตามกระแสกลัวตกรถ
กลัวตกข่าวหรือเทรนด์: ต้องคอยเช็กโซเชียลตลอดเวลา กลัวไม่รู้เรื่องที่คนอื่นพูดถึง
ซื้อของเพราะกลัวพลาด: เห็นโปรโมชั่นหรือสินค้าจำกัดจำนวนแล้วรีบซื้อทันที
ลงทุนตามกระแส: ในวงการคริปโตหรือหุ้น คนที่มี FOMO มักจะรีบซื้อสินทรัพย์
เพราะเห็นว่าราคากำลังขึ้น กลัวจะพลาดกำไร
ในด้านการตลาด FOMO ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจเร็วขึ้น
เช่น การใช้คำว่า “จำนวนจำกัด” หรือ “หมดเขตวันนี้” เพื่อสร้างแรงจูงใจ
ภายใต้กรอบของทฤษฎีนี้ ความกลัวการพลาดโอกาสสามารถมองได้ว่าเป็นภาวะการควบคุมตนเอง
ที่เกิดจากความปรารถนาของผู้คนที่จะตอบสนองความต้องการที่คาดหวัง
ความวิตกกังวลดังกล่าวสามารถกระตุ้นให้เกิดการสะสมของอารมณ์ด้านลบ
ความกลัวที่จะพลาดโอกาสจึงมักถูกมองว่าส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ความรู้สึกกังวลว่าตนเองอาจไม่รู้เรื่องราว หรือพลาดข้อมูล เหตุการณ์ ประสบการณ์
หรือการตัดสินใจในชีวิตที่อาจทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความกังวลว่าตนเองอาจ
พลาดโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ประสบการณ์ใหม่ๆ เหตุการณ์ที่น่าจดจำ
การลงทุนที่ทำกำไร หรือความอบอุ่นใจจากคนที่รัก
คำว่า FOMO (Fear of Missing Out) เริ่มปรากฏครั้งแรกในปี 1996 โดย
นักวิจัยด้านการตลาดชื่อ Dr. Dan Herman
ซึ่งใช้ในรายงานการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและกลยุทธ์การตลาด
ต่อมาในช่วงปี 2010s คำนี้ได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อโซเชียลมีเดียเริ่มแพร่หลาย
และผู้คนเริ่มรู้สึกว่าต้อง “ตามให้ทัน” สิ่งที่คนอื่นกำลังทำหรือพูดถึง
เมื่อ Facebook, Instagram, Twitter กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
ผู้คนเริ่มแชร์กิจกรรม ความสำเร็จ หรือไลฟ์สไตล์ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “เรากำลังพลาดอะไรบางอย่าง”
FOMO จึงกลายเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปทั้งในด้านจิตวิทยา การตลาด และการลงทุน
โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและคริปโต ที่นักลงทุนมักจะ “กลัวตกรถ”
จึงได้มีการคิดแนวคิดเกี่ยวกับ JOMO ขึ้นมาและหาข้อดูของมันเพื่อแทนที่จะรู้สึกกังวลว่าเราพลาดอะไรไป