นพเก้า ความหมาย ความหมายของอัญมณี 9 ชนิด

 


นพเก้า ความหมาย ความหมายของอัญมณี 9 ชนิด


ความหมายของอัญมณี 9 ชนิด


คือแก้วมณีหรือหินมีค่า 9 อย่าง เป็นของที่จะนำสิริมงคล


นพรัตน์ นพเก้า หรือ นพรัตน์ หรือเรียกอีกอย่างว่า แก้วเก้าเนาวรัตน์


 นพเก้า แปลว่า เก้า ทั้งนพและเก้ามีความหมายอย่างเดียวกัน  ไทยใช้คำว่านพเก้าเป็นชื่อแหวนฝังนพรัตน์ 


นพเก้า ความหมาย



1. เพชร : ความมั่งคั่งร่ำรวย ความสำเร็จ มีพลังเอาชนะอุปสรรค อัญมณีแห่งอำนาจ สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ


2. ทับทิม : ปกป้องผู้สวมใส่จากโรคร้าย ปกป้องคุ้มครอง นำความมั่งคั่งและความสงบสุข 


3. มรกต : สัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ เสริมความรัก ความสมบูรณ์ มั่งคั่ง ร่ำรวย 


4. บุษราคัม : ช่วยเสริมบุญบารมี และ ศิริมงคล นำพาความโชคดี ความมั่งคั่ง  


5. โกเมน : มีสีแดงก่ำออกเข้ม สัญลักษณ์ของความรักที่ยั่งยืนมั่นคง นำพาโชคในด้านความรัก สุขภาพ  


6. นิล : อัญมณีสีดำ มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันคุณไสยหรือมนต์ดำ ปกป้องให้พ้นภัยอันตราย  


7. มุกดา : (มุกดาหาร) อัญมณีแห่งดวงจันทร์ หินสีขาวใสสีน้ำนม เสริมเรื่องความรักและความสุข  


8. เพทาย : อัญมณีแห่งความโชคดี ส่งเสริมให้สติปัญญาดี ร่ำรวย  


9. ไพฑูรย์ : หรือพลอยตาแมว สัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ เสริมบารมี  


ความรู้ต่างๆ

✅ ฉายาจังหวัดไทย 77 จังหวัด

✅ ชื่อเดิม ชื่อโบราณ 77 จังหวัดของไทย

✅ แหวนพูนทรัพย์ แหวนนพเก้า ใส่เสริมดวง

✅ หินมงคลเสริมดวง คัดเกรด สี สันสวยงาม

✅ สร้อยข้อมือหินประจำวันเกิด เสริมดวงประจำวัน



จัมป์สูท คือ (Jumpsuit)

 


จัมป์สูท คือ (Jumpsuit)



เสื้อผ้าที่ประกอบด้วยเสื้อและกางเกงเย็บติดกัน เสื้อผ้าชิ้นเดียวที่มีแขนเสื้อและขา 


และมักจะไม่คลุมเท้า มือ หรือทั่วทั้งศีรษะ


ต้นแบบของชุดจั๊มสูทคือเสื้อผ้าที่นักดิ่งพสุธาสวมใส่ การสวมชุดจั๊มสูทอาจไม่สะดวก


หากจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ เพราะต้องถอดชุดจั้มสูทออกทั้งหมดเพื่อเข้าห้องน้ำ


ประวัติความเป็นมาย้อนกลับไปถึงปี 1919 ชุดจั๊มสูทถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเสื้อผ้าสำหรับ


นักกระโดดร่มที่กระโดดจากเครื่องบิน 


จัมป์สูท คือ (Jumpsuit)


ชุดจั๊มสูทถือเป็นชุดแรกที่กลายมาเป็นแฟชั่น เหตุผลก็คือมีทรงที่เพรียวบางกว่า


ในช่วงทศวรรษที่ 1930 นักออกแบบแฟชั่น Elsa Schiaparelli เริ่มออกแบบชุดจั๊มสูท


สำหรับผู้หญิง 


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้หญิงมักสวมชุดจั๊มสูทเพื่อประโยชน์ใช้สอย ในช่วงปี1950


นยานกว่า 1ทศวรรษ ช่วง 1960กว่า ชุดจั๊มสูทก็ได้รับความนิยมในฐานะชุดใส่ไปงานกลางวัน


และงานกลางคืนซึ่ง ชุดจั๊มสูทนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในนิตยสาร Vogue ในเดือนกันยายนปี 1964 


ชุดยังมักถูกพบได้ในการใช้สอยอย่างเช่นนักบิน นักแข่งรถ ชุดนักโทษ รวมไปถึงชุดชั่น


ชุดจั๊มสูทแฟชั่น ง่ายๆ ดูรูป ที่นี่  


ส่วนใหญ่ทำจากผ้าหรือหนังที่ทนทานซึ่งช่วยปกป้องร่างกายของผู้สวมใส่


บางตัวกันน้ำหรือหน่วงไฟ ในขณะที่บางตัวทำจากวัสดุตาข่ายหรือมีช่องเปิดหลายช่องเพื่อระบายอากาศ


รายละเอียดเพิ่มเติม


✅ ชุดจั๊มสูทเพลย์สูท เซ็กซี่ 

✅ ไอวี่ ลีก ของอเมริกา มีที่ไหนบ้าง Ivy League  

✅ ชุดจั๊มสายเดี่ยวขาสั้น  

✅ ชื่อประเทศในโลกทั้งหมด 

✅ ชุดจั๊มสูทออกงาน 



++++

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ( Xinjiang )

 


เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ( Xinjiang )



เป็นเขตปกครองตนเองของสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ


ของประเทศที่เป็นจุดตัดระหว่างเอเชียกลางและเอเชียตะวันออก 


เป็นเขตปกครองระดับจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดของจีนตามพื้นที่


เป็นเขตการปกครองประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก


มีพื้นที่มากกว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร (620,000 ตารางไมล์) 


คิดเป็นประมาณหนึ่งในหกของพื้นที่จีนมีประชากรประมาณ 25 ล้านคน 


ซินเจียงมีพรมแดนติดกับประเทศอัฟกานิสถาน อินเดีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน 


มองโกเลีย ปากีสถาน รัสเซีย และทาจิกิสถาน


เทือกเขาคาราโครัม(Karakoram) คุนหลุน(Kunlun) และเทียนซาน(Tian Shan)


ครอบคลุมพรมแดนส่วนใหญ่ของเขตปกครองซินเจียง


เส้นทางสายไหมทอดผ่านดินแดนจากทางตะวันออกไปยังพรมแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ


ประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างน้อย 2,500 ปี ผู้คนและอาณาจักรต่างๆ มากมายได้


ควบคุมดินแดนทั้งหมดหรือบางส่วน ในศตวรรษที่ 18 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิง


ต่อมาสาธารณรัฐจีน ตั้งแต่ปี 1949 และสงครามกลางเมืองจีน ดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ


สาธารณรัฐประชาชนจีน ซินเจียงเป็นแหล่งน้ำมันและแร่ธาตุสำรองในปริมาณมหาศาล 


และปัจจุบันซินเจียงเป็นภูมิภาคที่ผลิตก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของจีน 


ปริมาณสำรองคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของปริมาณสำรองที่ดินทั้งหมด


เขตปกครองตนเองได้รับการจัดระเบียบใหม่จากมณฑลซินเจียงและก่อตั้งขึ้นในปี 1955 


โดยมีเมืองหลวงคืออุรุมชี 


ลักษณะภูมิอากาศที่มีอุณหภูมิสูงในฤดูร้อน อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนแตกต่างอย่างมาก


ซินเจียงสามารถผลิตผลไม้คุณภาพสูงได้หลากหลาย เช่น มะเขือเทศ แคนตาลูป ทับทิม องุ่น เป็นต้น


เป็นฐานการผลิตฝ้ายคุณภาพสูงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน 


ซินเจียงเป็นที่ตั้งของกลุ่มชาติพันธุ์ 56 กลุ่มและกลุ่มชาติพันธุ์ถาวร 19 กลุ่ม รวมถึงอุยกูร์ ฮั่น คาซัค ฮุย 


คีร์กิซ มองโกเลีย ซีเบ ทาจิกิสถาน ตงเซียง ฯลฯ 


ที่มาชื่อตั้งจาก ซิน (新, xīn) ("ใหม่") เจียง (疆, jiāng) ("แนวพรมแดน" หรือ "ชายแดน")


แปลว่า "พรมแดนใหม่" หรือ "ดินแดนใหม่" 


1 ตุลาคม ในปีพ.ศ. 2498 (1955) มณฑลซินเจียงได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์"






หลู่ตงปิน กวี อมตะ เซียนแห่งความมั่งคั่ง Lü Dongbin

 

หลู่ตงปิน  กวี อมตะ เซียนแห่งความมั่งคั่ง Lü Dongbin



หลู่ ตงปิน เดิมชื่อ หลู่ หยาน มีชื่อรองว่า ตงปิน และชื่อลัทธิเต๋า ชุนหยางจือ


 มีชื่อเล่นว่า ฮุย ลัทธิเต๋า หนึ่งใน 8 เทพโป๊ยเซียน เทพอมตะของเต๋า


เขาเกิดในสมัยราชวงศ์ถัง และเป็นศิษย์ของ จงลี่ฉวน  หนึ่งในแปดอมตะ


เขากลายเป็นเทพเจ้าที่นับถือในลัทธิเต๋า เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง 


แต่งกายเป็นปราชญ์ถือกระบี่เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย


 เป็นบัณฑิตชาย เหน็บกระบี่กายสิทธิ์ไว้ที่หลัง กระบี่นี้มีอำนาจขับไล่ภูตผีปิศาจ


มักจะถูกพรรณนาว่าเป็นชายที่ฉลาดหลักแหลมและมีความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะช่วยให้ผู้คนได้รับปัญญา


เป็นคนใจดี ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาได้รับความเคารพอย่างสูงจากผู้คน


ตามคำบอกเล่าของพระอาจารย์ฮวนฮวา หลู่เป็นหนึ่งในผู้เปลี่ยนร่างของพระโพธิสัตว์กวนอิม (อวโลกิเตศวร)


หลู่ฆ่ามังกรได้หลายตัวด้วยดาบวิเศษของเขา 


เขามีตำนานมากมายหลายยุคและมากมายหลายที่ หลายเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นคนจิตใจดีของเขา



หนึ่งในตำนานการก้าวมาเป็นผู้อมตะของเขาคือ


เขาฉลาดตั้งแต่อายุยังน้อย และว่ากันว่าเขียนได้วันละหมื่นคำ 



ด้วยความมุ่งมั่นที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจึงสอบคัดเลือกสองครั้งแต่ล้มเหลว 


เขาได้พบกับลัทธิเต๋า (จง หลี่ฉวน) ซึ่งเรียกตัวเองว่า หยุนฟาง และยอมรับคำเชิญให้ไปฝึกฝน 


แต่เขาปฏิเสธเพราะเขาไม่สามารถละทิ้งความฝันที่จะก้าวหน้าได้


ขณะที่ จง หลี่ฉวน กำลังหุงข้าวเหลือง หลู่ตงปิน ก็งีบหลับและฝัน เขาผ่านการทดสอบ


ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่งงานกับลูกสาวจากครอบครัวที่ดีและมีลูกหลายคน หลังจากผ่านไป 40 ปี 


เขาถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมร้ายแรง ทรัพย์สินของเขาถูกยึด ครอบครัวของเขาถูกแยกจากกัน 


และเขาถูกลดตำแหน่ง จากนั้นจึงตื่นขึ้นแต่ข้าวเหลืองยังไม่สุก


เมื่อตระหนักถึงธรรมชาติของโลกที่ไม่ยั่งยืน เขาจึงขอให้ จง หลี่ฉวน รับเขาเป็นศิษย์


และถูกบังคับให้รับการทดลองสิบครั้ง หลู่ตงปินซึ่งทำสิ่งนี้สำเร็จอย่างชำนาญ 


ในที่สุดก็กลายเป็นลูกศิษย์ของจงลี่ฉวน และหลังจากฝึกฝนได้ระยะหนึ่ง เขาก็กลายเป็นอมตะ


พิกัดความรู้

8 เทพ โป๊ยเซียน ( 8 Immortals )

โป๊ยเซียน เทพแห่งโชคลาภตามคติจีนโบราณ

รวมเทพ เด่นๆ มีชื่อ กรีก อียิปต์ จีน ฮินดู ความสามารถด้านใดบ้าง 

พลิกตำนานเทพเจ้า ตอนเทพเจ้าอียิปต์

100 สุดยอดนักรบ แม่ทัพ ยุคโบราณ 












หลี่เถียไกว่/ ทิก๋วยลี้ / หลี่เตี่ยกวย ( Li Tieguai) หลี่ไม้เท้าเหล็ก

 


หลี่เถียไกว่/ ทิก๋วยลี้ / หลี่เตี่ยกวย ( Li Tieguai) หลี่ไม้เท้าเหล็ก


ตำนานเล่าว่าหลี่เกิดในราชวงศ์หยวน


เป็นหนึ่งในแปดเทพโป๊ยเซียนของลัทธิเต๋า ตำนานเล่าว่าสามารถปกป้องช่างตีเหล็กและขอทานได้


เขาเป็นศิษย์ของหลู่ตงปิน เขามีรูปร่างสูงมาก เป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ และปฏิบัติลัทธิเต๋าในถ้ำลึกเข้าไปในภูเขา


เขามักถูกบรรยายว่าเป็นคนฉุนเฉียวและอารมณ์ร้าย ใจดีต่อคนจน คนป่วย และคนขัดสน


เขามียาเพื่อปรุงขึ้นมาบรรเทาความทุกข์จากขวดน้ำเต้าของเขา


เขาถูกบรรยายหน้าตาไว้ว่า เป็นชายชราหน้าตาน่าเกลียด มีเครารุงรัง และผมยุ่งเหยิงที่รัดด้วยผ้าทอง 


เขาเดินด้วยไม้ค้ำยันเหล็กและมักจะสะพายขวดน้ำเต้า เขาต่อสู้เพื่อผู้ถูกกดขี่และรักษาผู้ป่วย


สัญลักษณ์ไม้ค้ำยันเหล็กของเขายังคงแขวนอยู่นอกร้านขายยาแผนโบราณบางแห่ง


น้ำเต้าวิเศษที่ใช้รักษาโรคของเขาเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด


มีความเชื่อกันว่าเขาสามารถทำยา "ที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้"


พิกัดความรู้

8 เทพ โป๊ยเซียน ( 8 Immortals )

โป๊ยเซียน เทพแห่งโชคลาภตามคติจีนโบราณ

รวมเทพ เด่นๆ มีชื่อ กรีก อียิปต์ จีน ฮินดู ความสามารถด้านใดบ้าง 

พลิกตำนานเทพเจ้า ตอนเทพเจ้าอียิปต์

100 สุดยอดนักรบ แม่ทัพ ยุคโบราณ 


...




ฮั่นจงหลี จงลี่ฉวน (จงหลี ฉวน) Zhongli Quan

 


ฮั่นจงหลี จงลี่ฉวน (จงหลี ฉวน) Zhongli Quan 


มีคนบอกว่าเขาเป็นชาว เป่ย์จิง ( Yanjing ปักกิ่งในปัจจุบัน) เมืองจี้หรือจี้เฉิง แห่งราชวงศ์ฮั่น


เขาเป็นปรมาจารย์ผู้เป็นอมตะลัทธิเต๋า


เป็นบุคคลในตำนานของจีนและเป็นหนึ่งในแปดอมตะ ในตำนานเขาถือลูกพีช 


และใช้พัดขนนกขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถชุบชีวิตคนตายและเปลี่ยนหินให้เป็นเงินหรือทองได้


เขาเป็น อมตะตั้งแต่ต้นในบรรดาแปดอมตะและมีชื่อเสียงมากขึ้น เนื่องจากต้นแบบของเขา


เป็นนายพลของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เขาจึงถูกเรียกว่า จงหลีแห่งราชวงศ์ฮั่น


โดยมีลักษณะเด่น เช่น หน้าผากกว้าง หูหนา คิ้วยาว ตาลึก จมูกแดง ปากเหลี่ยม แก้มสูง 


และริมฝีปากสีแดงเข้ม เติบใหญ่มาก็ได้เข้าเป็นข้าราชการในราชสำนัก ตามแบบบิดาตน 


และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพของกองทัพหนึ่งของราชวงศ์ฮั่น 


กองทัพของเขาได้ต่อสู้กับทิเบต ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เขาถูกพวกทิเบตเอาชนะ ทำให้เขา


ต้องหลบหนีไปยังพื้นที่ภูเขาที่รายล้อมเขาอยู่ เขาได้พบผู้เฒ่าคนนึงและได้นำพาเขาไปยังสถานที่


ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณ ที่นั่นเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีและเขาได้เรียนรู้พิธีกรรม วิชาต่างๆ 


เพื่อเป็นอมตะ หลังจากนั้น 3 วันต่อมา


เขาก็ถูกบอกให้ออกจากที่แห่งนั้น ไปรับใช้ประชาชนของตัวเอง เมื่อเขาหันมองกับไปเพื่อจะสนทนา


เป็นครั้งสุดท้ายกับผู้เฒ่าท่านนั้น ตัวผู้เฒ่าเองและบ้านเรือน ที่ทางที่เคยเห้นกลับหายไปหมดสิ้น 


เขาจึงรู้ทันทีว่าได้รับการชี้แนะจากผู้เวิศษ เขาใช้พลังและพัดวิเศษของเขาสร้างเหรียญเงินและทองจากหิน


และช่วยผู้คนจากความยากจนและความอดอยาก การใช้พลังอมตะและพัดวิเศษของเขาเป็นที่เลื่องลือ


และได้รับความศรัทธาจากผู้คน 


วันนึงเขาทำสมาธิใกล้กำแพงของสำนักของตน แต่ทันใดนั้น กำแพงก็พังทลายลงมา 


ด้านหลังกำแพงเป็นภาชนะหยก ความลับของกล่องหยก และได้เรียนรู้ "ความลับแห่งความเป็นอมตะ"


ทำให้เขากลายเป็นอมตะบนก้อนเมฆที่ส่องประกาย กลายเป็นอมตะอย่างแท้จริง  เขายังถูกเรียกว่า เจ้าแห่งเมฆ


เขายังได้รับการเคารพในฐานะหนึ่งในห้าพระสังฆราชฝ่ายเหนือโดยนิกาย ฉวนเจิน เป็นลัทธิเต๋าสำนักหนึ่ง


เรื่องเหล่านี้มักมีตำนานมากมายหลากหลายแห่ง หลายยุคสมัยตั้งแต่โบราณถึงเรื่องแต่งปัจจุบัน


ที่เรายกมาเป็นแค่หนึ่งในหลายๆตำนานของเทพทั้งหลาย 


มักจะโดดเด่นกว่าเซียนคนอื่นๆ ในเทพ โป๊ยเซียน  เป็นที่รู้จักในเรื่องอุปนิสัยที่น่ารื่นรมย์


ภาพจำที่มักเห็นและอยู่ในรุปภาพของเขาคือหน้าอกและหน้าท้องเปลือยและถือพัดที่ทำจากขนนกหรือขนม้า 


มีผมที่ขมับและเคราที่ยาวถึงสะดือ บางครั้งก็ถูกวาดในขณะกำลังร่ำสุรา


เขาได้รับการเคารพนับถือเป็นประจำในฐานะ "ผู้อุปถัมภ์ของช่างเงิน"


หน้าที่เกี่ยวข้อง

8 เทพ โป๊ยเซียน ( 8 Immortals )

โป๊ยเซียน เทพแห่งโชคลาภตามคติจีนโบราณ

รวมเทพ เด่นๆ มีชื่อ กรีก อียิปต์ จีน ฮินดู ความสามารถด้านใดบ้าง 

พลิกตำนานเทพเจ้า ตอนเทพเจ้าอียิปต์

100 สุดยอดนักรบ แม่ทัพ ยุคโบราณ 

......






พันธุ์ปลาของไทย ปลาไทยมีกี่ชนิด

 


พันธุ์ปลาของไทย หรือพันธุ์ปลาที่พบในประเทศไทย ปลาไทยมีกี่ชนิด




วงศ์ปลากด - เป็นปลาหนังไม่มีเกล็ด มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา และเอเชีย

ปลากดขาว - หรือ ปลากดชงโลง หรือ ปลากดนา พบได้ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย (ชวา สุมาตรา บอร์เนียว) และไทย

ปลากดคัง - มีต้นกำเนิดมาจากลุ่มน้ำโขง และมีรายงานจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กลอง และแม่น้ำในไทย

ปลากดคังสาละวิน - ปลาน้ำจืดเขตร้อนที่กระจายอยู่ในลุ่มน้ำอิรวดี แม่น้ำสะโตง และแม่น้ำโขง

ปลากดแดง - อาศัยอยู่ในทะเลและน้ำกร่อยในบังคลาเทศ อินเดีย เมียนมาร์ ปากีสถาน ศรีลังกา และไทย 

ปลากดดำ - หรือ ปลากดหม้อ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตั้งแต่ไทยไปจนถึงอินโดนีเซีย 

ปลากดหัวกบ - หรือ ปลาอุกหน้ากบ หรือ ปลากดยิ้ม พบในมหาสมุทรนอกชายฝั่งไทย และหลายประเทศแถบนี้

ปลากดหัวผาน -  ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อย ชุกชุมในอดีตในเขตน้ำกร่อยตอนใต้ถึงน้ำจืดในแม่น้ำบางปะกง

ปลากดหัวลิง - พบในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอินเดีย หมู่เกาะอันดามัน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำกร่อย

ปลากดเหลือง - มีถิ่นกำเนิดในกัมพูชา ลาว และไทย รู้จักเฉพาะในแม่น้ำโขงเท่านั้น


⭐⭐⭐


ปลากระดี่นาง - ปลากระดี่นาง หรือ ปลากระดี่ฝ้าย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน

ปลากระดี่มุก - มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

ปลากระดี่หม้อ - เป็นปลาสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


⭐⭐⭐


ปลากระทิง - มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปลากระทิงจุด - มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่า และไทย อาศัยอยู่ในแม่น้ำและแม่น้ำสาขาขนาดใหญ่


⭐⭐⭐


ปลากระเบนขาว - มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่า และไทย 

ปลากระเบนชายธง - แพร่หลายในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และบางครั้งก็เข้าสู่แหล่งน้ำจืด

ปลากระเบนราหูน้ำจืด - พบในแม่น้ำสายใหญ่และปากแม่น้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาะบอร์เนียว

ปลากระเบนลายเสือ -  มีถิ่นกำเนิดในแม่น้ำน้ำจืดหลายสายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปลากระเบนลาว - ปลากระเบนลาว หรือ ปลากระเบนแม่น้ำโขง อยู่เฉพาะแม่น้ำโขงและแม่น้ำเจ้าพระยาในประเทศลาวและไทย


⭐⭐⭐


ปลากระมัง - ปลาน้ำจืด พบกระจายอยู่ในแม่น้ำโขง ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และคาบสมุทรมลายู ในเอเชีย มีความยาวได้ถึง 30 ซม

ปลากระมังครีบสูง - มีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำโขงในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม อาศัยอยู่ในคลองน้ำจืด

ปลากระสง -  เป็นปลาน้ำจืด ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนของจีนตอนใต้ ในลำธารในป่า

ปลากระสูบขีด - หรือ ปลากระสูบขาว ลุ่มน้ำโขงและเจ้าพระยา เช่นเดียวกับคาบสมุทรมาเลเซีย และซุนดา พบเห็นได้ในแหล่งน้ำจืด

ปลากระสูบจุด - อาศัยอยู่ในน้ำที่มีน้ำไหลช้าหรือนิ่ง ถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำโขง พบในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา 

ปลากระสูบสาละวิน - มีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำสาละวินในประเทศไทยและเมียนมาร์ 

ปลากระแห - ปลาน้ำจืด ในลำธารในประเทศไทย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา

ปลากระโห้ - เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่ใกล้สูญพันธุ์ พบเฉพาะในลุ่มน้ำแม่กลอง แม่น้ำโขง และเจ้าพระยาในอินโดจีน 


⭐⭐⭐


ปลากราย - ถิ่นกำเนิดในแหล่งน้ำจืดในกัมพูชา จีน ฮ่องกง ลาว มาเก๊า ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม

ปลากริมมุก - หรือ ปลากริมสี เป็นปลาสลิดสายพันธุ์น้ำจืดที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


⭐⭐⭐


ปลากะพงข้างปาน -  ปลาน้ำเค็ม อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ มีถิ่นกำเนิดในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก

ปลากะพงขาว - ปลาทะเล อยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ มีการกระจายอย่างกว้างขวางในมหาสมุทรแปซิฟิก

ปลากะพงดำ - ปลาชนิดนี้พบได้ในน่านน้ำเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก เป็นปลาทะเลน้ำตื้นเขตร้อน

ปลากะพงแดงสั้นหางปาน - มีถิ่นกำเนิดในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกตะวันตก โดยพบทางตะวันออกถึงฟิจิและญี่ปุ่น

ปลากะพงแดงหน้าตั้ง - มีถิ่นกำเนิดในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก

ปลากะพงลาย - เป็นปลาน้ำกร่อย พบในเอเชียใต้ ไปจนถึงอินโดจีนและอินโดนีเซีย พบได้ในน้ำกร่อยของปากแม่น้ำ

ปลากะพงเหลืองห้าเส้น - หรือ ปลากะพงเหลืองแถบฟ้า  มีถิ่นกำเนิดในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก


⭐⭐⭐


ปลากะแมะ - ปลาน้ำจืด พบในบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย พบตามป่าพรุและลำธาร

ปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็ก - พบได้ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก

ปลากะรังปากแม่น้ำ - ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก รวมถึงทะเลแดงและมหาสมุทรอินเดีย ตอนใต้ของญี่ปุ่น หมู่เกาะทะเลจีนใต้ และไต้หวัน

ปลากะรังลายจุด -  หรือ ปลากะรังน้ำกร่อย ปลาทะเลและปลาน้ำกร่อยขนาดใหญ่ พบในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

ปลากะรังหน้างอน -  หรือ ปลากะรังหงส์ หรือ ปลาเก๋าหงส์ เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก


⭐⭐⭐


ปลากัด - ปลาน้ำจืดที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม

ปลากัดอมไข่กระบี่ -  หรือ ปลากัดหัวโม่งกระบี่ ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งเนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยอันจำกัดเนื่องจากมลพิษ

ปลากัดช้าง - หรือ ปลากัดน้ำแดง ทางภาคใต้ของประเทศไทย ทางตอนเหนือของคาบสมุทรมาเลเซีย ในป่าพรุและลำธาร

ปลากัดป่าภาคใต้ -  หรือ ปลากัดภาคใต้ ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปลากัดปีนัง - หรือ ปลากัดภูเขา มีถิ่นกำเนิดในอาเซียน ตามลำธารในป่าของคาบสมุทรมลายู ประเทศไทย เกาะสุมาตรา

ปลากัดหัวโม่งจันทบุรี - หรือ ปลากัดหัวโม่ง มีถิ่นกำเนิดในเอเชียซึ่งพบทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทยและประเทศลาว

ปลากัดเขียว - หรือ ปลากัดอีสาน มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและลาว แม่น้ำมูลและแม่น้ำชีในภาคอีสาน


⭐⭐⭐


ปลากา - หรือ ปลากาดำ พบในลุ่มน้ำโขงและเจ้าพระยา คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ชวา และบอร์เนียว

ปลาก้าง - หรือ ปลากั้ง  ปลาน้ำจืด กระจายอยู่ในแอ่งน้ำจืดทางตอนใต้ของจีน พม่า ไทย และอาเซียนอื่นๆ

ปลาก้างพระร่วง - ปลาน้ำจืด เป็นปลาประจำถิ่นของไทย โดยอาศัยอยู่ตามแม่น้ำและลำธารทางใต้ของคอคอดกระที่ไหลลงสู่อ่าวไทย

ปลาการ์ตูน - ปลาการ์ตูนมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดงหรือดำ เป็นปลาประจำถิ่นในน่านน้ำอุ่นของมหาสมุทรอินเดีย

ปลาการ์ตูนส้มขาว - อาศัยอยู่ใกล้ผิวน้ำ ในมหาสมุทรอินเดียตะวันออกและในมหาสมุทรแปซิฟิก

ปลาเก๋าดอกหมากยักษ์ - มีการกระจายพันธุ์ในอินโดแปซิฟิกอย่างกว้างขวาง มีความยาวได้ถึง 200 เซนติเมตร

ปลาเก๋าแดง - พบในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกเขตร้อน และน่านน้ำใกล้หมู่เกาะแปซิฟิกต่างๆ

ปลาเก๋าเสือ - หรือ ปลากะรังลายน้ำตาล ตามชายฝั่งและในแนวปะการัง อาศัยอยู่ในแนวปะการังและทะเลสาบที่มีน้ำใส


⭐⭐⭐



ปลาขาไก่ - พบได้ในคาบสมุทรมาเลเซีย เกาะบอร์เนียว และสุมาตรา กัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม


ปลาแค้ขี้หมู - เป็นปลาน้ำจืดสายพันธุ์เอเชียใต้มีถิ่นกำเนิดในพม่าและไทย พบได้ในแม่น้ำเมยใกล้แม่สอดชายแดนไทย-พม่า

วงศ์ปลาแค้ - อาศัยอยู่ในน้ำจืดและมีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศตุรกีและซีเรียไปจนถึงจีนตอนใต้และเกาะบอร์เนียว

ปลาแค้งู - มีถิ่นกำเนิดในประเทศลาว กัมพูชา และไทย โดยพบในลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำเจ้าพระยา

ปลาแค้ติดหินสามแถบ - กระจายอยู่ในแม่น้ำของจีน อินเดีย เนปาล เมียนมาร์ ไทย และลาว อาศัยอยู่ตามแก่ง

ปลาแค้ยักษ์ - กระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดีย พบในแม่น้ำสายใหญ่ในเอเชียใต้ เช่น ลุ่มแม่น้ำสินธุและแม่น้ำคงคา ลุ่มแม่น้ำโขง-เจ้าพระยา

ปลาแค้วัว - หรือที่รู้จักกันในชื่อปลาดุกยักษ์ มักพบในแม่น้ำสายใหญ่และสายกลางในเอเชียใต้

ปลาค้อถ้ำพระวังแดง - กระจายอยู่ในลุ่มน้ำถ้ำพระในประเทศไทย อาศัยอยู่ในผืนน้ำด้านล่างของถ้ำ

ปลาคางเบือน - เป็นปลาน้ำจืดเขตร้อนที่กระจายอยู่ในลุ่มน้ำโขงในเอเชีย

ปลาค้าวขาว - หรือ ปลาเค้าขาว พบได้ในแม่น้ำและทะเลสาบขนาดใหญ่ อนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปลาค้าวดำ - หรือ ปลาเค้าดำ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 



ปลาจะละเม็ดดำ - พบได้นอกชายฝั่งของแอฟริกาใต้ โมซัมบิก เคนยา ทะเลอาหรับ อ่าวเบงกอล อ่าวเปอร์เซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน ญี่ปุ่นตอนใต้ และออสเตรเลีย

ปลาจิ้งจอก - ปลาน้ำจืดพบได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขง คาบสมุทรมาลายู

ปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ - หรือ ปลาจิ้มฟันจระเข้ลำธาร ปลาน้ำจืดอาศัยอยู่ในแม่น้ำและลำธาร ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไนดารุสซาลาม และไทย 

ปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ - ปลาน้ำจืด พบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาศัยอยู่ในลำธารและแม่น้ำ โดยกินสัตว์จำพวกกุ้ง ไส้เดือน และแมลง




ปลาฉนากจะงอยปากกว้าง - พบได้ทั่วโลกในบริเวณชายฝั่งเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แต่ยังเข้าสู่แหล่งน้ำจืดด้วย อยู่ในข่ายใกล้สูญพันธุ์

ปลาฉนากจะงอยปากแคบ - พบได้ในน่านน้ำชายฝั่งตื้นและปากแม่น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกอินโด-ตะวันตก

ปลาฉลามกบ -  หรือ ปลาฉลามปล้องอ้อย พบได้ในอินโด-แปซิฟิกตะวันตกตั้งแต่ญี่ปุ่นไปจนถึงออสเตรเลียตอนเหนือ

ปลาฉลามขาว - พบได้ในมหาสมุทรหลักทั้งหมด 

ปลาฉลามครีบดำ - พบได้ทั่วไปในแนวปะการังเขตร้อนของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก

ปลาฉลามวาฬ - อาศัยอยู่ในน่านน้ำเปิดของมหาสมุทรเขตร้อนทั้งหมด

ปลาฉลามเสือ - ในน่านน้ำเขตร้อนและเขตอบอุ่นหลายแห่ง ถือเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์

ปลาฉลามเสือดาว (Stegostoma fasciatum) - พบได้ทั่วบริเวณอินโด-แปซิฟิกเขตร้อน อาศัยอยู่ตามลำพังเกือบทั้งปีจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ตามฤดูกาล

ปลาฉลามหัวค้อน - พบได้ทั่วโลก โดยชอบอาศัยอยู่ในน้ำอุ่นตามแนวชายฝั่งและไหล่ทวีป

ปลาฉลามหัวบาตร - เป็นปลาน้ำจืดที่มีความสามารถในการดำรงชีวิตได้ดีทั้งในน้ำเค็มและน้ำจืด 

ปลาฉลามหางยาวธรรมดา - หรือ ปลาฉลามเทรเชอร์ มีการกระจายพันธุ์ทั่วโลกในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ทั้งใกล้ชายฝั่งและในมหาสมุทรเปิด


ปลาช่อน - มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และถูกนำเข้าสู่หมู่เกาะแปซิฟิกบางแห่ง

ปลาช่อนข้าหลวง - หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ปลาช่อนจักรพรรดิ มีถิ่นกำเนิดในบางส่วนของอินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย

ปลาช่อนงูเห่า -  หรือ ปลาช่อนดอกจันทน์ ปลาหายาก พบไม่บ่อยนักในธรรมชาติ 

ปลาช่อนดำ - สายพันธุ์พื้นเมืองของประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ อาศัยอยู่ในแม่น้ำขนาดใหญ่ถึงปานกลาง

ปลาชะโด - เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์ปลาช่อน มีถิ่นกำเนิดในน้ำจืดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบางประเทศถือเป็นเอเลี่ยนสปีชี่ส์

ปลาชะโอน - เป็นสายพันธุ์ของปลากะพงซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศในเอเชีย


ปลาซิวแก้ว - พบกระจายอยู่ในลุ่มน้ำโขงในเอเชีย อาศัยอยู่ในลำธารน้ำจืด เป็นกลุ่ม

ปลาซิวข้างขวานใหญ่ - (ปลาซิวลายเสือ) เป็นปลาพื้นเมืองของมาเลเซีย สิงคโปร์ สุมาตรา และบอร์เนียว กระจายตัวในภาคใต้ของประเทศไทย

ปลาซิวข้างขวานเล็ก - (ปลาสลิดหิน) พบได้มากในประเทศไทยและกัมพูชา

ปลาซิวควาย - อยู่เป็นฝูงใหญ่ในแม่น้ำและแหล่งน้ำนิ่ง รวมถึงลำธารในที่สูงบางแห่ง พบในภาคใต้ ภาคกลาง ถึงแม่น้ำโขง

ปลาซิวควายข้างเงิน - พบในลุ่มน้ำโขง เจ้าพระยาและแม่กลอง คาบสมุทรมาเลย์ ตลอดจนเกาะบอร์เนียว ชวา และสุมาตรา

ปลาซิวเจ้าฟ้า -  พบได้ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำแม่กลองและลุ่มน้ำโขงในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา 

ปลาซิวอ้าว - ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่แม่น้ำแม่กลองไปจนถึงแม่น้ำโขง มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย


--- ยังมี ต่ออีก รออัพเดท --


ความรู้ที่น่าสนใจ

สนามบินนานาชาติของไทย มีกี่แห่ง

สมุดระบายสีสัตว์ทะเล 8 แบบ

อุทยานแห่งชาติมีกี่แห่ง ที่ไหน อะไรบ้าง

สติ๊กเกอร์รูปสัตว์ DIY เซต 6-12 แผ่น

สัตว์น้ำประจำ 77 จังหวัดของไทย






หลันไฉ่เหอ Lan Caihe ผู้มีพลังจิต

 


หลันไฉ่เหอ Lan Caihe ผู้มีพลังจิต


เป็นหนึ่งในแปดอมตะของลัทธิเต๋า ตามตำนาน เขาเป็นขอทาน นักแสดงข้างถนน ผู้มีพลังจิต พ่อมด


ในรัชสมัยของจักรพรรดิซวนจงแห่งราชวงศ์ถัง ค.ศ. 618 ถึง ค.ศ. 907 เป็นเพียงคนเดียวใน 


8 เทพ โป๊ยเซียนที่มีเพศไม่ชัดเจน 


ถือตะกร้าดอกไม้อยู่ในมือ กระเช้าดอกไม้มีความลึกลับและมีกลิ่นหอมและสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้าย


ออกไปได้ ดังนั้นจึงถือเป็นผู้อุปถัมภ์ของนักจัดดอกไม้ และชาวสวน


หลายคนบอกว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายที่ดูเหมือนเด็กผู้หญิง และบุคลิกที่แปลกประหลาดของเขา


อยู่ในฐานะคนไร้บ้าน โดยเป็นวณิพกเร่ร้องเพลง นักร้องข้างถนนที่เร่ร่อนไปทั่วประเทศจีนเพื่อเลี้ยงชีพ


ทำให้เขาเป็นตัวละครที่ลึกลับและเข้าใจยากที่สุดในบรรดา 8 เทพ โป๊ยเซียน


ตามตำนานเล่าว่า 


เป็นนักดนตรีพเนจร สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง รองเท้าข้างหนึ่ง และเท้าเปล่าอีกข้างหนึ่ง เขาขอทานในเมืองฉางอาน 


เงินที่เขาได้รับจากการขอทาน บางครั้งก็มอบให้คนยากจนและบางครั้งก็ใช้จ่ายในร้านเหล้า


นอกจากนี้เขาชอบสวมเสื้อผ้าหนาๆ ในฤดูร้อน และนอนบนหิมะในฤดูหนาวโดยมีความร้อนสีขาวออกมาจากร่างกาย


โรงละครจีนพรรณนาถึงหลันว่าสวมเสื้อผ้าที่เป็นผู้หญิง แต่พูดด้วยเสียงผู้ชาย


อายุทางกายภาพที่ชัดเจนของ บางครั้งเขาอายุเปลี่ยนแปลงแต่ใบหน้าและร่างกายยังคงเดิม


หน้าที่เกี่ยวข้อง

8 เทพ โป๊ยเซียน ( 8 Immortals )

โป๊ยเซียน เทพแห่งโชคลาภตามคติจีนโบราณ

รวมเทพ เด่นๆ มีชื่อ กรีก อียิปต์ จีน ฮินดู ความสามารถด้านใดบ้าง 

พลิกตำนานเทพเจ้า ตอนเทพเจ้าอียิปต์

100 สุดยอดนักรบ แม่ทัพ ยุคโบราณ 


...






โจกัวจิ่ว (เฉากั๋วจิ้ว) เทพแห่งการแสดงและการละคร Cao Guojiu

 


โจกัวจิ่ว (เฉากั๋วจิ้ว) เทพแห่งการแสดงและการละคร Cao Guojiu



เกิดในราชวงศ์ซ่งเหนือ เขาเป็นหลานชายของ เฉา ปิน (เฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในนายพลผู้ก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง) 


และเป็นน้องชายของจักรพรรดินี จักรพรรดินีเฉา ของซ่งเหรินจง 


เขามีนิสัยอ่อนโยน เชี่ยวชาญด้านดนตรี เก่งเรื่องโกะและยิงธนู และชอบแต่งบทกวี


เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการทหาร ตงจง เขาทำหน้าที่เป็นทูตของกองทัพพิทักษ์แห่งชาติ


ตามตำนานกล่าวไว้ว่า น้องชายของโจกัวจิ่ว ถือว่าตัวเองเป็นญาติ


ของจักรพรรดิและเลี้ยงดูขุนพลผู้ทรยศ เขาปล้นที่ดินและทรัพย์สินของผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่า


และเอาเปรียบประชาชน กัวจิ่วห้ามไม่ฟัง เขาเลยเอาทรัพย์สมบัติตัวเองนั้น  ไปช่วยคนยากจน


ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ถือเป็นการชดเชย ต่อมา น้องชายถูกกล่าวโทษ ถูกเนรเทศ และเสียตำแหน่ง


โจกัวจิ่วจึงบริจาคทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่ทั้งหมด ละทิ้งตำแหน่งราชการ ไปบวชเป็นพระ และไปที่


ภูเขาเพื่อปฏิบัติธรรม จากนั้นเขาก็หนีไปที่ภูเขา และมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติลัทธิเต๋าเพื่อเป็นอมตะ 


เขาได้พบกับอมตะสองคน จงลี่ฉวน และ หลู่ ตงปิน เทพโป๊ยเซียน จึงได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ


ชนชั้นอมตะ เขาอุทิศตนเพื่อฝึกฝนและในไม่ช้าก็บรรลุลัทธิเต๋าและกลายเป็นหนึ่งในแปดเทพโป๊ยเซียน


รูปลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่มักรู้จักเขาหรือภาพวาดของเขานั้น จะใส่ชุดขุนนางเต็มยศเครื่องแบบราชวงศ์


พร้อมสัญลักษณ์หยก(แท่นหยกประจำตำแหน่ง) 


เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของศิลปิน เทพแห่งการแสดงและการละคร







ชนิดของมด เท่าที่พอหาได้ ant

 ชนิดของมด เท่าที่พอหาได้ 


สายพันธุ์และชนิดของมด ชนิดของมด มีชื่อว่าอะไรบ้าง บทความนี้เกิดจากความอยากรู้ของเราเอง

ล้วนๆเลย55แค่คิดเล่นๆว่า มดมันมีสายพันธ์อะไรบ้างชื่ออะไรเลยลองหาๆเล่นดู เลยอยากแปะชื่อไว้

เผื่อคนอยากรู้ด้วย ผมไม่ได้จะมาอธิบายอะไรเกี่ยวกับชนิดของมด นะคับ 


1. มดดำ 


2. มดคันไฟ


3. มดน้ำตาล


4. มดละเอียด (มดฟาโรห์)


5. มดเหม็น (มดบ้านกลิ่น)


6. มดช่างไม้ 


7. มดดำบ้าน 


8. มดแดง 


9. มดน้ำผึ้ง  


10. มดตะนอยดำใหญ่   


11. มดหนามหีบทองง่าม  


12. มดหนามปล้องไผ่ 


13. มดหนามกระทิงอกแดง 


14. มดสีเงินสะฮารา หรือ มดสีเงิน  


15. ลาเซียส ไนเจอร์ (มดดำสวน)  


16. มดหนามกระทิงขนทอง  


17. มดทหารศรีลังกา  


18. แมงมัน  


19. มดตะนอยอกส้ม 


20. มดโถน้ำผึ้ง  


21. มดตะลานยักษ์ปักใต้ (มดไม้ยักษ์) 


22. มดตะลานป้องขี้เถ้า  


23. มดตะลานป่าหัวแดง 


24. มดฮี้ดำ 


25. มดหนามคู่สีเทา 


26. มดง่ามคู่สีดำ  


27. มดก้นหอยหลังง่าม  


28. มดก้นห้อยธรรมดา  


29. มดกระโดดเหลือง 


30. มดไอ้ชื่นดำ  


31. มดปุยฝ้ายป่า  


32. มดหนามกระทิงดำ  


33. มดหนามเคียวใหญ่  


34. มดคันไฟอิวิคต้า 


-- ไว้อัพเดทเรื่อยๆ 

35. มดทหารสีนิล


36. มดทหารวิลัย


37. มดท้องคอดหูยาว


38. มดก้นห้อยท้ายแหลม


39. มดท้องคอดตีนยาว 


40.  มดท้องคอดยูนาน


41. มดท้องคอดสีนิล


42. 


43. 


44.  : 


45.  : 


46.  : 


47.  : 


48.  : 


49.  : 


50.  : 


51.  : 


52.  : 


53.  : 


54.  : 


55.  : 


56.  : 


57.  : 


58.  : 


59.  : 


60.  : 


61.  : 


62.  : 


63.  : 


64.  : 


65.  : 


66.  : 


67.  : 


68.  : 


69.  : 


70.  : 


71.  : 


72.  : 


73.  : 


74.  : 


75.  : 


76.  : 


77.  : 


78.  : 


79.  : 


80.  : 


81.  : 


82.  : 


83.  : 


84.  : 


85.  : 


86.  : 


87.  : 


88.  : 


89.  : 


90.  : 


91.  : 


92.  : 


93.  : 


94.  : 


95.  : 


96.  : 


97.  : 


98.  : 


99.  : 


100.  : 

ฮั่นเซียงจื่อ Han Xiangzi เทพโป๊ยเซียน

 


ฮั่นเซียงจื่อ Han Xiangzi เทพโป๊ยเซียน


ฮั่นเซียงจื่อ หรือ หานเซียงจือ แล้วแต่ถนัด มีชื่อรองว่า Qingfu (ชิงฟู)

เป็นหนึ่งใน "แปดอมตะ"  (เทพโป๊ยเซียน) เขาศึกษาลัทธิเต๋าภายใต้การดูแลของ หลู่ตงปิน

เป็นบุคคลในตำนานของจีน และเป็นหนึ่งในแปดผู้เป็นอมตะในลัทธิเต๋า มีพลังที่จะทำให้ต้นไม้เติบโต

และเบ่งบานทันทีตามเสียงเพลงของขลุ่ยของเขา 

เรื่องราวที่เก่าแก่ที่สุดของเขามาจากสมัยราชวงศ์ถัง มักอยู่ในรูปที่มีการวาดไว้

ถูกวาดภาพว่าถือดิจื่อ (ขลุ่ยจีน) เขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพผู้อุปถัมภ์ของนักเป่าขลุ่ย 

เชื่อกันว่าเขายังเป็นผู้ประพันธ์ดนตรีของลัทธิเต๋า Tian Hua Yin (สวรรค์引)

ฮั่นเซียงจื่อ เป็นบุตรชายของ ฮั่น ฮุย ซึ่งเป็นพี่ชายของ ฮั่น หยู (ผู้มีชื่อเสียง รัฐบุรุษและกวีแห่งราชวงศ์ถัง)

หลังจากการเสียชีวิตของ ฮั่น ฮุย และภรรยาของเขา เซียงจื่อ ก็ถูกเลี้ยงดูมาในบ้านของ ฮั่น หยู 

ราวกับว่าเขาเป็นลูกชายแท้ๆ


ฮั่น หยู มีความคาดหวังอย่างมากต่อหลานชายของเขา เสียที่หลานชายของเขาไม่มีความตั้งใจ

ที่จะรับราชการ ประพฤติตัวขาดความรับผิดชอบ แทนที่จะเรียนกลับรังแกเพื่อนร่วมชั้น ทำตัวเกเร 

ทำอะไรสำเร็จเลยแต่เขาชอบที่ศึกษาหลักคำสอนของลัทธิเต๋า 


ต่อมา ฮั่น หยู เลยให้ เซียงจื่อ แต่งงานกับ หลินหลี่อิง (Lin Liying) ลูกสาวของนักวิชาการ หลิน 

หวังให้เขาละทิ้งลัทธิเต๋าและอุทิศตนเพื่อการเรียนสนใจงานด้านวิชาการ มากกว่าเรื่องของลัทธิเต๋า

 อย่างไรก็ตาม เซียงจื่อไม่เคยทำให้ภรรยาของเขาตั้งท้องเลย 


หลายปีต่อมาเขาก็หนีออกจากบ้านเพื่อไปเข้าร่วมกับ หลู่ตงปิน และ จงลี่ฉวน 

หลังจากที่ ฮั่นเซียงจื่อ กลายเป็นอมตะได้สำเร็จ เขาก็กลับมายังโลกเพื่อช่วยเหลือลุง ป้า และภรรยา

ของเขา (เพื่อให้พวกเขากลายเป็นอมตะด้วย) ก็ไปร่วมวันเกิดของลุงของเขา ฮั่นหยูพยายามโน้มน้าว

หลานชายของเขาอีกครั้งให้ละทิ้งการแสวงหาลัทธิเต๋า 

เพื่อแสดงให้ลุงได้รู้เขาเลย  กล่าวว่าเส้นทางของพวกเขาแตกต่างออกไป  เขาสามารถทำสิ่งอัศจรรย์ 

ฮั่นหยูไม่เชื่อเขา

เซียงจือ จึงแสดงให้เห็นถึงพลังของเต๋าโดยการเทเหล้าจากน้ำเต้า จากนั้นกลุ่มดอกไม้สีฟ้าปรากฏขึ้น

บนกองดิน (ดอกโบตั๋น) ทันใดนั้นก็มีช่อดอกโบตั๋นที่สมบูรณ์แบบออกมา บนกลีบดอกไม้เหล่านี้เขียน

ด้วยทองคำ เนื้อความทำนาย


เขาทำนายว่า ลุงของเขาจะไปหลงที่ดินแดนภูเขาอันไกลโพ้น หาทางออกไม่ได้โดนหิมะปกคลุม 

ม้าก็ไม่สามารถช่วยพาออกมาได้ เขาว่าสักวันหนึ่งคำพูดเหล่านั้นจะเป็นจริง  


และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆในอนาคต เมื่อฮั่น หยู ถูกเนรเทศเพื่อเป็นการลงโทษสำหรับการติติงฮ่องเต้

เรื่องพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า การประท้วงต่อต้านจักรพรรดิ์ทำให้ถูกลงโทษ


ในขณะที่เดินทาง เขาถูกพายุรุนแรงและฮั่นเซียงจื่อก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา และถามเขาว่าเขาจำบทกวี

ที่ปรากฏท่ามกลางดอกไม้ได้หรือไม่

ลุงของเขาตกใจที่ บทกวีคำทำนายบนกลีบดอกโบตั๋นนั้นเป็นจริง 


ฮั่นเซียงจื่อ จึงช่วยชีวิตลุงของเขาจากพายุหิมะที่(ลังกวน) Languan ต่อมาฮั่นเซียงจือมอบยาให้เขา

แล้วบอกว่า อีกไม่นานเขาจะกลับมาและฟื้นตำแหน่งเดิมอีกครั้ง


ฮั่นเซียงจื่อมักจะถือ "ตะกร้าดอกไม้และขลุ่ยหยก"  ขลุ่ยของเขาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี




สงครามเจ็ดปี หรือ สงครามโลกครั้งที่ศูนย์ (World War Zero)

 


สงครามเจ็ดปี หรือ สงครามโลกครั้งที่ศูนย์ (World War Zero)


เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1756 ถึง ค.ศ. 1763 


สาเหตุโดยตรงคือความพยายามของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (ปกครองประเทศสเปนและประเทศออสเตรีย)


ที่จะยึดแคว้นซิลีเซีย (ไซลีเซีย Silesia)คืนจากปรัสเซีย 


เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและมีความสำคัญทางอุตสาหกรรม เป็นภูมิภาคประวัติศาสตร์


ของยุโรปกลางซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโปแลนด์ โดยมีส่วนเล็กๆ ในสาธารณรัฐเช็กและเยอรมนี


ด้วยการเพิ่มการแข่งขันในอาณานิคมระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1754 สงครามดังกล่าว


จึงกลายเป็นสงครามทั่วโลก การรบแบ่งออกเป็นบริเตน ปรัสเซีย และมหาอำนาจอื่นๆ 


(ฝรั่งเศส ออสเตรีย รัสเซีย สเปน และสวีเดน) และมหาอำนาจยุโรปทั้งหมดในขณะนั้น ยกเว้นจักรวรรดิออตโตมัน


การสู้รบขยายวงกว้างออกไป ยุโรป. ในอินเดีย จักรวรรดิโมกุลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส 


ที่พยายามหยุดยั้งอังกฤษไม่ให้รุกรานแคว้นเบงกอล 


การต่อสู้ระหว่างฝรั่งเศส-อังกฤษยังคงเป็นกุญแจสำคัญ คู่ต่อสู้หลักสองรายคือฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ 


แต่เกี่ยวข้องกับมหาอำนาจส่วนใหญ่ในยุคนั้นการสงครามไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ยุโรปหรืออินเดีย 


ซึ่งส่งผลกระทบต่อยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง ชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก อินเดีย และฟิลิปปินส์ 


เพราะดินแดนเหล่านี้ล้วนถูกควบคุมโดยมหาอำนาจยุโรปหลายชาติ 


สงครามเจ็ดปีได้รับแรงผลักดันจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจยุโรป อังกฤษแข่งขันกับ


ฝรั่งเศสและสเปนเพื่อการค้าและอาณานิคม ปรัสเซียที่กำลังรุ่งโรจน์กำลังแข่งขันกับออสเตรีย


เพื่อชิงอำนาจทั้งภายในและภายนอกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์


บริเตนประสบความสำเร็จอย่างมากในสงครามเจ็ดปี โดยได้รับความได้เปรียบอย่างล้นหลาม


ในสงครามการค้ากับฝรั่งเศสในพื้นที่ส่วนใหญ่ของนิวฟรานซ์ในแคนาดา ฟลอริดาของสเปน 


อาณานิคมบางแห่งในหมู่เกาะแคริบเบียน เซเนกัล และอนุทวีปอินเดีย


ผลของสงคราม ฝ่ายแองโกล-ปรัสเซียนได้รับชัยชนะ ซึ่งนำไปสู่การผงาดขึ้นของอังกฤษ


ฝรั่งจึงเสียอำนาจการคสบคุมในยุโรปไป จึงทำให้พันธมิตรอย่างออสเตรียภาเสื่อมอำนาจลงไปด้วย


ยุโรปกลับเข้ามามีสมดุลใหม่อีกครั้ง ปรับเปลี่ยนสมดุลกันครั้งใหญ่ ฝรั่งเศสถูกลิดรอนอาณานิคม


จำนวนมากและมีภาระหนี้สงครามจำนวนมาก สเปนสูญเสียฮาวานาในคิวบาและมะนิลาในฟิลิปปินส์ให้กับอังกฤษ


สเปนสูญเสียฟลอริดาแต่ได้เฟรนช์ลุยเซียนาแต่ต่อมาก็กลับมาควบคุมคิวบาและฟิลิปปินส์ที่สูญเสียให้กับอังกฤษในช่วงสงคราม 


สงครามสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาปารีสระหว่างฝรั่งเศส สเปน และบริเตนใหญ่ 


และสนธิสัญญาฮูแบร์ตุสบูร์กระหว่างแซกโซนี ออสเตรีย และปรัสเซีย

เหอเซียงกู่ He Xiangu นางฟ้าใน เทพโป๊ยเซียน

 


เหอเซียงกู่ He Xiangu นางฟ้าใน เทพโป๊ยเซียน


เหอเซียงกู่ หรือ เหอเซียนกู Hé Xiāngū หรืออาจจัเรียกว่านางฟ้าเหอ 


ซึ่งมีชื่อเดิมว่า He Qiong เป็นชาว กว่างโจว ในสมัยราชวงศ์ถังที่เจริญรุ่งเรือง


ต้นแบบคือหญิงสาวสวยที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา มักถือดอกบัว เธอมีหลายตำนานให้กล่าวถึง


ตามตำนานที่แพร่หลายเล่าว่า ลูกสาวของตระกูลเหอ เมื่ออายุได้ 13 ปี เธอไปที่ภูเขาเพื่อเก็บชา


 เธอได้พบกับผู้เป็นอมตะ เทพโป๊ยเซียน (หรือหลู่ตงปิน) โดยบังเอิญ และพาเธอไป ในฐานะลูกศิษย์หญิง


ในตำนานต่างๆ เหอเซียนกู่มีตัวตนอยู่สามประการ ได้แก่ นางฟ้า แม่ชีลัทธิเต๋า และแม่มด


บางตำนานเล่าว่า เมื่อแรกเกิด เธอมีผมยาวหกเส้นบนกระหม่อม เมื่อเธออายุประมาณ 14 หรือ 15 ปี


เทวดาองค์หนึ่งปรากฏแก่เธอในความฝันและสั่งให้เธอกินไมกา(กลุ่มแร่ไมกา) ที่เป็นผงเพื่อ


มีภูมิคุ้มกันจากความตายเป็นอมตะ และล่องหนได้ เธอสาบานว่าจะยังคงรักษาพรหมจรรย์  และถือศีลอด


ต่อมา พระนางอู่ เจ๋อเทียน ( บูเช็คเทียน) ได้เรียกนางเข้าเฝ้า แต่นางหายตัวไประหว่างเดินทาง 


ภายหลัง นางได้กลายเป็นเซียนและขึ้นสวรรค์ไปในนหนึ่งในช่วงยุคจิงหลง (ค.ศ. 707–710)


 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจงจงแห่งราชวงศ์ถัง เธอเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ในเวลากลางวันแสกๆ และกลายเป็นอมตะ


ดอกบัวของเหอเซียงกู่ มีผลต่อผู้คนในด้านช่วยปรับปรุงสุขภาพ จิตใจ และร่างกาย


มีภาพเธอถือดอกบัว และบางครั้งก็มีเครื่องดนตรีที่เรียกว่าเซิงหรือเฟิ่งหวงติดตามเธอด้วย 


เธออาจถือแส้หรือกระบวยก็ได้ 


ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีบันทึกว่าคำจารึกของวัดเหอเซียนกู่ว่าในสมัยว่านหลี่ หลิว จี้เหวิน ผู้ว่าราชการมณฑลกวางตุ้งและกวางสีได้ขอ


เหอเซียนกู่ มีความสามารถในการคาดการณ์ลางที่ดีและไม่ดีเมื่อ เขาจึงขอให้นางทำนายให้ เขากำลังปราบปรามความวุ่นวายจากกบฎ


นางได้บอกแม่ทัพว่า ท่านจะไม่ได้เห็นศัตรูด้วยซ้ำ ก่อนที่ท่านจะไปถึง พวกเขาจะพ่ายแพ้และหนีไปแล้ว


ต่อมาในระหว่างการสู้รบระหว่างกองทัพซ่งกับหนง จื้อเกา เพียงไม่นาน หนง จื้อเกาก็พ่ายแพ้และหนีไปที่อาณาจักรต้าหลี่

8 เทพ โป๊ยเซียน ( 8 Immortals )

 8 เทพ โป๊ยเซียน ( 8 Immortals )


เทพอมตะทั้งแปดในลัทธิเต๋า เทพจีน เป็นตัวแทนของกลุ่มคนแปดกลุ่มที่แตกต่างกัน ทั้งชายและหญิง 


คนแก่และเด็ก คนจน คนต่ำต้อย ร่ำรวยและมีเกียรติ เนื่องจากผู้เป็นอมตะทั้งแปดคน


ล้วนเป็นมนุษย์ที่บรรลุลัทธิเต๋า บุคลิกของพวกเขาจึงใกล้เคียงคนทั่วไป


พวกเขาได้กลายเป็นตัวแทนที่สำคัญมากของผู้เป็นอมตะในลัทธิเต๋า 


ผู้คนจำนวนมากให้ความนับถือบูชา เทพทั้ง 8  ได้แก่ 


เหอเซียงกู่, ฮั่นเซียงจื่อ, โจกัวจิ่ว, หลานไฉ่เหอ, จงลี่ฉวน, หลี่เตี่ยกวย, หลู่ตงปิน และจางกัวเลา



1. เหอเซียงกู่ : เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม หญิงสาวสวยที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา มักถือดอกบัว


2. ฮั่นเซียงจื่อ : ศิลปินขลุ่ย ศึกษาศิลปะเวทมนตร์ของลัทธิเต๋า ฮั่นเซียงจื่อมักถูกวาดภาพว่าถือดิจื่อ 

(ขลุ่ยจีน)จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพผู้อุปถัมภ์ของนักเป่าขลุ่ย


3. โจกัวจิ่ว : เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ เขาเป็นหลานชายของ โจปิน และเป็น

น้องชายของจักรพรรดินีเฉา (ซ่งเหรินจง)ก่อนที่เขาจะกลายเป็นเทพอมตะ


4. หลันไฉ่เหอ : เขาเป็นขอทาน นักแสดงข้างถนน ผู้มีพลังจิต พ่อมด ในรัชสมัยของจักรพรรดิซวนจง

แห่งราชวงศ์ถังถือตะกร้าดอกไม้อยู่ในมือ กระเช้าดอกไม้มีความลึกลับและมีกลิ่นหอมและสามารถขับไล่

วิญญาณชั่วร้ายออกไปได้


เขาเป็นเด็กผู้ชายที่ดูเหมือนเด็กผู้หญิง


5. จงลี่ฉวน : หนึ่งในห้าบรรพบุรุษของลัทธิเต๋าฉวนเจิ้น หวู่จงแห่งราชวงศ์หยวนตั้งชื่อให้เขาเป็น

จักรพรรดิแห่งการตรัสรู้และการเทศนาเกี่ยวข้องกับความตายและอำนาจในการสร้างเงินและทอง ถือพัด


6. หลี่เตี่ยกวย : มักใช้ไม้ยันรักแร้เหล็กและพกขวดน้ำเต้า ตำนานเล่าว่าสามารถปกป้องช่างตีเหล็ก

และขอทานได้บรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยและคนขัดสน


7. หลู่ตงปิน : เกิดในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง นักวิชาการและกวี


8. จางกัวเลา : ราชวงศ์ถัง เชี่ยวชาญในการโน้มน้าวจิตใจ ฝึกฝนการเล่นแร่แปรธาตุ



พิกัดความรู้

8 เทพ โป๊ยเซียน ( 8 Immortals )

โป๊ยเซียน เทพแห่งโชคลาภตามคติจีนโบราณ

รวมเทพ เด่นๆ มีชื่อ กรีก อียิปต์ จีน ฮินดู ความสามารถด้านใดบ้าง 

พลิกตำนานเทพเจ้า ตอนเทพเจ้าอียิปต์

100 สุดยอดนักรบ แม่ทัพ ยุคโบราณ 


...







รางวัลพูลิตเซอร์ The Pulitzer Prize

 


รางวัลพูลิตเซอร์ The Pulitzer Prize


รางวัลพูลิตเซอร์ เป็นรางวัลที่บริหารโดยมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หนึ่งใน ไอวี่ ลีก ของอเมริกา 


สำหรับความสำเร็จในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสารศาสตร์ออนไลน์ วรรณกรรม 


และการประพันธ์เพลงในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 1917ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมของ


โจเซฟ พูลิตเซอร์ ผู้ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลจากการเป็นผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์


โจเซฟ พูลิตเซอร์ ผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์มอบเงินตามพินัยกรรมของเขาแก่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย


เพื่อเปิดโรงเรียนสอนวารสารศาสตร์และก่อตั้งรางวัลพูลิตเซอร์ มีการจัดสรรเงินรางวัล


และทุนการศึกษาจำนวน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ


หลังจากที่เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1911 


รางวัลพูลิตเซอร์ครั้งแรกก็ได้รับรางวัลในวันที่ 4 มิถุนายน 1917



รางวัลจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับวารสารศาสตร์ ศิลปะ อักษร และนิยาย 


รายงานและภาพถ่ายโดยหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และองค์กรข่าวในสหรัฐฯ


ประเภทของรางวัลที่ได้กำหนดนิยามไว้ล่าสุด 


ในปี 2023 มีการมอบรางวัลทุกปีใน 23 หมวดหมู่ 


ใน 22 หมวดหมู่ ผู้ชนะแต่ละคนจะได้รับใบรับรองและรางวัลเงินสดมูลค่า 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ 


เพิ่มขึ้นจาก 10,000 ดอลลาร์ในปี 2560


ผู้ชนะในประเภทบริการสาธารณะจะได้รับรางวัลเหรียญทอง


1. การบริการสาธารณะ – Public Service : สำหรับงานที่โดดเด่นของการบริการสาธารณะที่มีคุณค่า


โดยหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือไซต์ข่าว  รวมถึงการใช้เรื่องราว บทบรรณาธิการ การ์ตูน ภาพถ่าย 


กราฟิก วิดีโอ ฐานข้อมูล มัลติมีเดีย ถูกมองว่าเป็นรางวัลใหญ่ และถูกกล่าวถึงเป็นอันดับแรกในรายการ


รางวัลด้านสื่อสารมวลชน เป็นเพียงสาขาเดียวที่ได้รับเหรียญทอง 


2. การรายงานข่าวด่วน – Breaking News Reporting : การรายงานข่าวด่วนระดับท้องถิ่น ระดับรัฐ 


หรือระดับประเทศ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำทันทีที่เกิดขึ้น


3. การรายงานเชิงสืบสวน – Investigative Reporting : งานที่โดดเด่นของการรายงานเชิงสืบสวน 


โดยใช้เครื่องมือสื่อสารมวลชนที่มีอยู่


4. การรายงานเชิงอธิบาย - Explanatory Reporting  : การรายงานเชิงอธิบายที่ให้ความกระจ่าง


ในเรื่องที่มีนัยสำคัญและซับซ้อน แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของหัวข้อนั้น


5. รายงานข่าวท้องถิ่น (Local Reporting) : โดดเด่นของการรายงานประเด็นสำคัญที่เป็นข้อกังวลในท้องถิ่น 


แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มและความเชี่ยวชาญของชุมชน


6. รายงานข่าวระดับชาติ (National Reporting) : โดดเด่นของการรายงานกิจการระดับชาติ


7. รายงานข่าวนานาชาติ (International Reporting) : งานระหว่างประเทศที่โดดเด่นของการรายงาน


เกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ


8. การเขียนเชิงสารคดี (Feature Writing) : สำหรับการเขียนเชิงสารคดีที่โดดเด่น โดยคำนึงถึง


คุณภาพของการเขียน ความคิดริเริ่ม และความกระชับ


9. งานวิจารณ์ความเห็น (Commentary) : ความเห็น สำหรับความเห็นที่โดดเด่น


10. งานวิพากษ์ข่าว (Criticism) : สำหรับการวิจารณ์ที่โดดเด่น


11. งานเขียนบทบรรณาธิการ (Editorial Writing) : สำหรับการเขียนบทบรรณาธิการที่โดดเด่น


วัตถุประสงค์ทางศีลธรรม การใช้เหตุผลที่ถูกต้อง และอำนาจในการโน้มน้าวความคิดเห็นสาธารณะ


ในสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้อง


12. งานบรรณาธิการภาพการ์ตูน (Editorial Cartooning) : สำหรับการ์ตูนที่โดดเด่นหรือผลงานการ์ตูน


ที่โดดเด่นด้วยความคิดริเริ่ม ประสิทธิภาพของบรรณาธิการ คุณภาพของการวาดภาพและเอฟเฟกต์ภาพ 


เผยแพร่ในรูปแบบภาพนิ่ง แอนิเมชั่น


13. ภาพข่าวด่วน (Breaking News Photography) : งานโดดเด่นของการถ่ายภาพข่าวด่วน


14. ภาพถ่ายหลัก (Feature Photography) : 


15. ชีวประวัติ (Biography) : 


16. บทละคร (Drama) : 


17. นวนิยาย / บันเทิงคดี (Fiction) : 


18. สารคดีทั่วไป (General Non-Fiction) : 


19. ประวัติศาสตร์ (History) : 


20.  อัตชีวประวัติ (Autobiography) : 


21. กวีนิพนธ์ (Poetry) : 


22. รางวัลพูลิตเซอร์สาขาดนตรี (Pulitzer Prize for Music) : 


23. รายงานข่าวด้วยเสียง  (Audio Reporting) : การรายงานที่โดดเด่นในรายการวิทยุหรือพอดแคสต์


วันคุ้มครองโลก Earth Day 22 เมษายน

 


วันคุ้มครองโลก Earth Day 22 เมษายน


วันคุ้มครองโลกเป็นงานประจำปีในวันที่ 22 เมษายน เพื่อแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนการปกป้อง

สิ่งแวดล้อม จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2513 ปัจจุบันมีกิจกรรมต่างๆ มากมายที่

ประสานงานทั่วโลกโดยในปีพ.ศ. 2512 ในการประชุม UNESCO ที่ซานฟรานซิสโก เสนอวันเพื่อ

เป็นเกียรติแก่โลกและแนวคิดเรื่องสันติภาพ โดยจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2513 

เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

แนวคิดของวันคุ้มครองโลกได้รับการเสนอครั้งแรกในปี พ.ศ. 2512 ในการประชุมด้านสิ่งแวดล้อม

ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมืองซานฟรานซิสโก

เป็นเมืองแรกที่นำแนวคิดนี้มาใช้ 


ซึ่งเสนอโดยจอห์น แมคคอนเนลล์ ยังสร้างธงโลกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวันคุ้มครองโลก 

อู๋ตั่น ( นักการทูตชาวพม่า ) ซึ่งในขณะนั้นเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ สนับสนุนข้อเสนอนี้ 

และสหประชาชาติยังคงยึดวันที่ 21 มีนาคม เป็นวันคุ้มครองโลก 


หนึ่งเดือนต่อมา วุฒิสมาชิกสหรัฐ เกย์ลอร์ด เนลสัน เสนอแนวคิด ที่จะจัดการเรียนการสอนด้าน

สิ่งแวดล้อมทั่วประเทศในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2513 เขาจ้างเดนิส เฮย์ส นักเคลื่อนไหวรุ่นเยาว์

ให้เป็นผู้ประสานงานระดับชาติ เนลสันและเฮย์สเปลี่ยนชื่อกิจกรรมเป็น "วันคุ้มครองโลก"

เขาขยายแนวคิดให้ครอบคลุมทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา วันคุ้มครองโลกวันแรกยังคงเป็นการประท้วงวันเดียว

ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ด้วยผู้คนมากกว่า 20 ล้านคน ที่มาชุมนุมบนถนนเข้าร่วมใน

ขบวนการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จของขบวนการนี้ทำให้ขบวนการนี้

กลายเป็นแนวทางปฏิบัติในการจัดกิจกรรมคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในวันที่ 22 เมษายนของทุกปี 

และยังมีชื่อวันคุ้มครองโลกตามมาด้วย


วันคุ้มครองโลกครั้งแรกมุ่งเน้นไปที่สหรัฐอเมริกา 

ในปี พ.ศ.2533 เดนิส เฮย์ส เดนิส เฮย์ส ซึ่งเป็นผู้ประสานงาน ระดับชาติคนแรกในปีพุทธศักราช 2513 

ได้จัดงานระดับนานาชาติและจัดกิจกรรมใน 141 ประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วันคุ้มครองโลกได้กลาย

เป็นขบวนการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมระดับโลก


เนื่องในวันคุ้มครองโลกปี พุทธศักราช 2559 สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และอีก 120 ประเทศ

ได้ลงนามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)


*  เป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

(ยูเอ็นเอฟซีซีซี) เพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ วันลงนาม 22 เมษายน 

พ.ศ. 2559 วันตรา 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558ผู้ลงนาม 195 รัฐ  ผู้เก็บรักษา เลขาธิการสหประชาชาติ


เพื่อสร้างจิตสำนึกร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาการมีประชากรล้นเกิน มลพิษ การอนุรักษ์ความหลากหลาย

ทางชีวภาพ ภาวะโลกร้อน และข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เพื่อปกป้องโลก





เจ้าหญิงอัตสึ Princess Atsu

 


เจ้าหญิงอัตสึ Princess Atsu


เท็นโชอิง รู้จักกันในนามว่า "อัตสึฮิเมะ" เป็นมิไดโดโกโระหรือภรรยาเอกของโชกุน

โทกูงาวะ อิเอซาดะ โชกุนลำดับที่ 13 ของรัฐบาลโชกุนโทกุงาวะแห่งญี่ปุ่น บาคุฟุ

เกิด 19 ธันวาคม พ.ศ. 2379 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2426

ปลายสมัยเอโดะถึงสมัยเมจิ 

เจ้าหญิงอัตสึ


เกิดในตระกูลอิมาอิซึมิ ชิมะซุ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลชิมะซุในแคว้นซัตสึมะ และได้รับการ

รับเลี้ยงบุตรบุญธรรม โดยตระกูลหลักของชิมาสึ จากนั้นจึงแต่งงานกับตระกูลโทคุงาวะในฐานะ

บุตรสาวบุญธรรมของตระกูลโคโนเอะ หัวหน้าตระกูลโกเซก และกลายเป็นโชกุนคนที่ 13 ของ

รัฐบาลโชกุนเอโดะ หัวหน้าตระกูลโทคุงาวะ


ชื่อในวัยเด็กคืออิจิ เธอได้รับการรับเลี้ยงโดยชิมาสึ นาริอากิระ ไดเมียวยุคเอโดะตระกูลชิมาซุ 

ผู้ปกครองแคว้นซัตสึมะชื่อจริง และฉายาของเธอคือ Minamoto no Atsuko และเมื่อเธอ

กลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของ โคโนเอะ ทาดาฮิโระ เธอก็เปลี่ยนชื่อเป็น ฟูจิวาระ โนะ ซูมิโกะ  

ชื่อนี้กลายมาเป็นคิมิโกะ (อัตสึกิมิ) 


เป็นไปได้ว่า อัตสึโกะถูกส่งไปยังปราสาทเอโดะโดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือชิมาสึ นาริอากิระ

ทางการเมือง

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2399 อัตสึโกะแต่งงานกับโทกุกาวะ อิเอซาดะ และกลายเป็นมิไดโดโคโระ 

ในปี พ.ศ. 2401

ต่อมา โทกุกาวะ อิเอซาดะ และชิมาสึ นาริอากิระ เสียชีวิต โชกุนลำดับที่ 14 ได้รับการตัดสินให้เป็น

ลูกพี่ลูกน้องของอิซาดะและเป็นบุตรบุญธรรม โทกุกาวะ อิเอโมจิ หลังจากสามีของเธอถึงแก่อสัญกรรม


อัตสึโกะก็รับหน้าที่ผนวชเป็นแม่ชีในพุทธศาสนา และใช้ชื่อเท็นโชอินเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2401

อิเอโมจิแต่งงานกับเจ้าหญิงจักรพรรดิคาซุ-โนะ-มิยะ ชิกาโกะ พระราชธิดาในจักรพรรดินินโก 

จักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ที่ 120 


ในปี พ.ศ. 2409 อิเอโมจิเสียชีวิต โทกุกาวะ โยชิโนบุกลายเป็นโชกุนคนต่อไป ในระหว่างการปฏิรูปเมจิ 

เทนโชอินและลูกสะใภ้ของเธอ เซคังอิน (ชื่อคาสึโนะมิยะหลังการผนวช) ช่วยเจรจาเรื่องการยอมจำนน

อย่างสันติของปราสาทเอโดะ


เธอใช้เวลาหลายปีที่เหลือในการเลี้ยงดูโทคุงาวะ อิเอซาโตะ หัวหน้าคนที่ 16 ของตระกูลโทกุกาวะ

เธอป่วยเป็นโรคพาร์กินสันซึ่งเสียชีวิตในที่สุดในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2426 ขณะอายุ 47 ปี 

เธอถูกฝังที่คาเนอิจิ ในอุเอโนะ โตเกียว ร่วมกับสามีของเธอ องเคียวอิน (อิเอซาดะ)



ข้อคิดที่ได้จากหนัง เจ้าหญิงอัสซึ Princess Atsu


วันนี้เราจะมา พูดถึงหนังเรื่องนึงของญี่ปุ่น หลายๆคนคงเคยดูไปแล้วถ้ายังจำไม่ได้เอาชื่อไปเสริช 

หารูปหรือตัวหนังในกูเกิ้ลดูครับ

***มาพูดเกี่ยวกับ เจ้าหญิงอัตสึ Atsu-Hime (Princess Atsu) ดูหนังเรื่องนี้แล้วให้ข้อคิดเป็นข้อๆอะไรบ้าง 


(พอดีดูแล้วค้างไว้นาน อาจลืมๆไว้บ้างเอาเท่าที่นึกออกนะ)



เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น


ทุกคนทำตามหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ชาวนา จักรพรรดิ โชกุน ไดเมียว ซามูไร โรนิน


เป้าหมายเดียวกันเพื่อสิ่งเดียวกันแต่วิธีคิดต่างกัน นำมาซึ่งความขัดแย้ง


ศักศรีดิ์และเกียรติ ที่จะให้ใครหยามไม่ได้หรือแม้กระทั่งทำสิ่งใดไปแล้วต้องรับผิดชอบไม่ให้ผู้อื่น

ต้องมารับกรรมแทน


ก้าวต่อไปแล้วไม่มีทางถอยหลัง


อย่าใช้กำลังให้ใช้หัวใจ อย่าบังคับให้เขาเปลี่ยนจงทำให้เขาอยากจะเปลี่ยนใจเอง


พวกพ้องไม่ทรยศกัน


ผิดก็ยอมรับอย่างมีเกียรติหรือขอโทษ


ทำสิ่งใดเมื่อตอนโมโห มักจะเสียใจภายหลัง


บางครั้งการสร้างโอกาศก็ไม่สู้รอโอกาศ


ปกครองคนอย่าใช้แต่ไม้แข็ง


บางครั้งคนที่ดูโง่ๆไม่มีอะไร จริงแล้วเขาอาจจะฉลาดมาก มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าที่เราคิด (อิเอซาดะ)


คนโง่เขลามักทำทุกอย่างพัง


การคบหาพูดจาโดยไม่มีอคติแม้ว่าจะเกลียดกัน บางครั้งอาจช่วยทำให้เข้าใจกันดีมากขึ้น (ชาของท่านอี)


ผู้หญิงแต่งเข้ามาตระกูลไหนก็เป็นคนของตระกูลนั้น


ธรรมเนียมเรื่องโอโอขุ ที่น่าสนใจคล้ายๆ เรื่องวังในของประวัติศาสตร์จีน


รากฐานก็สำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องอื่น


ชนะสงครามที่ต้องฆ่าพันพวกเดียวกันเองไม่น่าภูมิใจเลยซักนิด


ความตรงไปตรงมาเป็นสิ่งดี


อย่ายึดติดกับบุคคล ถึงแม้จะเคยสนับสนุนให้เป็นโชกุนแต่ก็ล้มได้


ใช้คนให้ตรงและเหมาะกับงาน อย่าอคติ


รับฟังความเห็นของผู้อื่นแม้คนผู้นั้นจะอยู่ในฐานะด้อยกว่าตน


ทำเรื่องเสื่อมเสียอย่าให้กระทบส่วนรวม (การคว้านท้องหลังจากฆ่าท่านอี)


ใจร้อนจะเสียงาน


ถ้าไม่มีอำนาจต่อรองก็สร้างมันขึ้นมา


เสียสละตัวเองเพื่องานใหญ่ (ยอมตายเพื่อให้คนปราบนายจะได้เป็นที่ไว้วางใจ)


น้ำใจเป็นสิ่งสวยงาม


เรื่องราวของโชกุนตระกูลโทกุกาวะ ในยุคตั้งแต่ โทกุกาวะ อิเอโยชิ ถึง โทกุกาวะ โยชิโนบุ 


คนที่ยิ่งใหญ่ถึงจะจากไปแล้วสิ่งที่หลงเหลือความยังเป็นแรงบัลดาลใจให้คนปัจจุบันได้ 

(ไซโกนึกถึงนาริอาคิระ)



เคล็ดลับง่ายๆ ตั้งรหัสผ่านยังไงให้ปลอดภัย (ไม่โดนแฮก) Password

 


เคล็ดลับง่ายๆ ตั้งรหัสผ่านยังไงให้ปลอดภัย (ไม่โดนแฮก)


  วันนี้เราจะมาเสนอวิธีการตั้งรหัสผ่านแบบง่ายๆ กันครับว่าตั้งอย่างไรให้ปลอดภัย และ ตั้งแบบไหน

ที่ไม่ปลอดภัยและเดาง่าย สำหรับ อีเมล บล็อก ไว้ใช้ในการเขียนบทความ หรือะไรทั้งหลาย 

มาลองดูกันดีกว่าครับ 


Password


การตั้งพาสเวิร์ด


1. อย่าตั้งง่ายเกิน : เช่น 12345678 สะดวกไปมันเดาง่าย (อันนี้น่าจะรู้กันอยู่แล้ว) บางเว็บเขาจะ

ให้ตั้งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ด้วย และอาจจะใช้เครื่องหมายอย่าง # ด้วยอะไรงี้



2. ใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกัน : เช่น Gmail ใช้อีกอัน Facebook ใช้อีกอัน อย่าให้ซ้ำเหมือนกัน

เวลาโดนแฮกหรือพลาดท่าโดนขโมยรหัสใดไปจะได้สูญเสียน้อยที่สุดไม่โดนทั้งหมดทั้งยวง



3. เปลี่ยนบ่อยๆ : เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆอย่าใช้อันเดิมนานๆ อาจจะ 90 วันเปลี่ยนซักครั้งเอาที่

พอจำได้ อย่าใช้ของเดิมนานๆเสี่ยงต่อการโดนดัก การเดาของคนสนิทได้ด้วย



4. รหัสผสม : ใช้ตัวเลข สัญลักษณ์ และตัวอักษรพิมพ์เล็กกับพิมพ์ใหญ่ผสมกัน ในรหัสสามารถ

ช่วงล่อหลอกคนที่กำลังดัก ให้งุนงงได้ (อย่า งงเองหละ) เป้นการตั้งรหัสที่ค่อนข้างยากต่อการเดา



5. ไม่นำข้อมูลส่วนตัวไปตั้งรหัส : เช่น เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์  วันเดือนปีเกิด 

เหมือนที่เขาห้ามว่าอย่างตั้งรหัสบัตรเอทีเอ็มเป็นวันเกิดเวลาหายพร้อมกระเป๋าตัง

บัตรประชาชน จะโดนกดจนหมดเพราะมันเเดากันง่าย อันนี้ป้องกันคนสนิทแอบเดา

รหัสเราได้อีกด้วย



6. ทำ 2 ชั้น : เช่นในGmail จะมีการยืนยัน 2 ชั้นทั้งทางอีเมลสำรองหรือ ส่งขอความมาทางโทรศัพท์

เพื่อยืนยันรหัสเข้าใช้งาน ถือว่าเป็นความปลอดภัยที่เซฟ 2ชั้นได้ดีอีกทางนึงเลย



7. ลักษณะจำเพาะ : อย่าตั้งอะไรที่เดาง่ายๆ เช่น เราชอบอุลตร้าแมน เพื่อนมันรู้ + ตั้งวันเกิดเช่น

เกิดวันที่ 20 ตั้งไปว่า Ultraman20 แบบนี้หวานเลย อย่าตั้งอะไรที่เจาะจงตัวเองหรือลักษณะเฉพาะตัว

มากเกินไปมันทำให้คนรู้จักจับทางเราได้ง่าย



8. ล็อกอินให้ปลอดภัย : เวลาไปล็อกอินรหัสผ่านข้างนอก ที่ไม่ใช่คอมพ์ตัวเองหรือคอมพ์ตัวเอง

ก็อย่าเซฟรหัสเอาไว้ เกิดอันตรายจากการโดนดักพาสจากผู้ไม่หวังดี เวลาไปล็อกอินข้างนอก 

ควรจะรีบเปลี่ยนพาสทันทีเพื่อความปลอดภัยใน บัญชีใช้งานที่คุณล็อกอิน



9. อีเมลสำรอง : ใช้อีเมลสำรองในการ ป้องกันอีกชั้นนึง เวลาที่ลืมรหัสหรือต้องการกู้รหัสผ่าน

กลับมา สามารถทำผ่านอีเมลสำรองได้ครับ



10. ไม่จดเก็บไว้ : โดยเฉพาะในคอมพิวเตอร์ยิ่งไม่สมควรจดรหัสเอาไว้ เพราะอาจมีโทรจันแอบแฝง 

ไวรัส เข้ามาขโมยข้อมูลของเราไปได้ทุกเมื่ออีกทั้งยังรวมถึงผู้มาใช้คนอื่นที่เราไม่สามารถรู้ได้อีกด้วย 

ทางที่ดีถ้าจะจด ควรทำเป็นปริศนาหรือ ซ้อนข้อความเอาที่เราเข้าใจคนเดียวไว้ในสมุดจบมิดชิด

และในสมุดจดอาจจะไม่ต้องบ่งบอก ว่าอันนี้คือรหัสของอะไร หรือ ทำอักษรเช่น รหัสคือ 

TMLOVERY อาจเขียนภาษาจดเอาไว้ที่ The mummy love red wing คือคำอาจจะไม่ต้อง

มีความหมายเอาที่เราจำได้แต่ดูธรรมดาว่าไม่โดดเด่นว่าคือรหัส


11. อย่ากดลิ้งมั่วเด็ดขาด อย่าแสกนคิวอาร์ หรือใดๆที่ไม่ชัวร์ มั่นเสี่ยงมาก ตรวจสอบก่อนให้ดี

คิดให้เยอะ มีสติตลอด


ปล. ทางที่ดีที่สุดคือ สมองความจำ จำให้ได้ต่อให้ตั้งยากแค่ไหน ก็ไม่มีปัญหา 





สงครามครูเสดครั้งที่ 1 First Crusade

 


สงครามครูเสดครั้งที่ 1 First Crusade


สงครามครูเสดครั้งแรก (ค.ศ. 1095-1102) 


สงครามครูเสดครั้งที่ 1 First Crusade


โดยกองกำลังยุโรปตะวันตกเพื่อยึดเมืองเยรูซาเลมและดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากการควบคุมของ

ชาวมุสลิมเกิดขึ้นโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 Urban II  สนับสนุนคำร้องขอความช่วยเหลือ

ทางทหารของไบแซนไทน์


จักรพรรดิไบแซนไทน์ อเล็กซิออส ที่ 1 โคมเนนอส ร้องขอการสนับสนุนทางทหารจากสภาปิอาเซนซา

ในความขัดแย้งของจักรวรรดิกับพวกเติร์กที่นำโดยเซลจุค ที่ยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาเป็นเวลา

หลายร้อยปีแล้วสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 สนับสนุนคำร้อง และยังเรียกร้องให้ชาวคริสต์

ที่ซื่อสัตย์เดินทางไปแสวงบุญด้วยอาวุธไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อช่วยเหลือชาวไบแซนไทน์และ

ปลดปล่อยเมืองเยรูซาเล็ม 


รวมตัวกันครั้งแรกในกรุงคอนสแตนติโนเปิลในฤดูใบไม้ร่วงปี 1096 คาดว่าจะมีจำนวนมากถึง 100,000 นาย

 พวกเขาปิดล้อมจักรวรรดิไนเซีย ขณะที่คิลิจ อาร์สลาน (Kilij Arslan) ไม่อยู่ทางเมืองจึงยอมจำนน 

ต่อมาก็เอาชนะกองทัพที่นำโดย คิลิจ อาร์สลัน ที่ใกล้เมือง Dorlyaeum ยุทธการที่ดอริเลอุมเกิดขึ้นระหว่าง

สงครามครูเสดครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1097 ระหว่างกองกำลังครูเสดและเซลจุคเติร์ก

ใกล้เมืองDorlyaeum ในอนาโตเลีย โดยต่อสู้กับนักธนูขี่ม้าเกราะเบาชาวตุรกีพวกครูเสดได้รับชัยชนะ

พวกคริสเตียนต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนในการข้ามอนาโตเลียในช่วงฤดูร้อน 


ในเดือนตุลาคมพวกเขาก็เริ่มการปิดล้อมเมือง แอนติออก Antioch  โดยยึดเมืองได้ในเดือนมิถุนายน 

ค.ศ. 1098 กรุงเยรูซาเล็มซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของฟาติมียะห์ (รัฐเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ ) 


เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1099 ปิดล้อมกรุงเยรูซาเลมส่งผลให้เมืองถูกยึดครองโดยการโจมตีตั้งแต่วันที่ 

7 มิถุนายน จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1099 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวเมืองถูกสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม 

การสู้รบใน Battle of Ascalon 


สมรภูมิแอสคาลอน เกิดขึ้นในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1099 กองทัพครูเสดเปิดฉากโจมตีกองทัพฟาติมียะห์

ที่ยังคงหลับใหลอยู่ในช่วงรุ่งเช้าพวกครูเสดสามารถเอาชนะทหารราบอย่างรวดเร็ว ทหารม้าฟาติมียะห์

แทบไม่มีส่วนช่วยในการสู้รบเลยการต่อสู้จบลงในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง อัศวินแห่งสงครามครูเสดมาถึง

ใจกลางค่ายสังหารหมู่ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิต หลักหมื่นคน


ความพยายามครั้งแรกของชาวมุสลิมในการยึดเยรูซาเลมกลับคืนมาจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

พวกเขากลับมายังกรุงเยรูซาเล็มในวันที่ 13 สิงหาคม ซึ่งเป็นการสิ้นสุดสงครามครูเสดครั้งแรก 

หลังจากนั้น นักรบครูเสดส่วนใหญ่ก็กลับบ้าน รัฐผู้ทำสงครามครูเสดสี่รัฐได้รับการสถาปนาขึ้น

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ อาณาจักรเยรูซาเลม Jerusalem เทศมณฑลเอเดสซา Edessa

ราชรัฐอันติโอก Principality of Antioch และเทศมณฑลตริโปลี Tripoli 


มีอัศวินเพียง 300 นายและทหารราบ 2,000 นายเท่านั้นที่ยังคงปกป้องกรุงเยรูซาเล็ม มีหลายคนที่

กลับบ้านก่อนจะถึงกรุงเยรูซาเล็มผู้รอดชีวิตจากการไปถึงกรุงเยรูซาเลมได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นวีรบุรุษ





รัฐฟลอริดา Florida

 


รัฐฟลอริดา  Florida


ฟลอริดา เป็นรัฐของสหรัฐอเมริกาทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา พรมแดนติดกับอ่าวเม็กซิโก


ทางทิศตะวันตกอลาบาม่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จอร์เจียทางทิศเหนือ บาฮามาสและ


มหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันออก และช่องแคบฟลอริดาและคิวบาทางทิศใต้ 


เป็นรัฐเดียวที่มีพรมแดนติดกับอ่าวเม็กซิโกและมหาสมุทรแอตแลนติก


เป็นรัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามในสหรัฐอเมริการองจากแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส 


 เป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในบรรดารัฐทางตะวันออก  ฟลอริดาอยู่ในอันดับที่ 22 ในบรรดารัฐสหพันธรัฐ 


เมืองหลวงทางการเมืองคือแทลลาแฮสซี Tallahassee 


เขตเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดคือไมอามี 


ฟลอริดาตั้งอยู่ทางตะวันออกของคาบสมุทรยาวประมาณ 630 กม. และทางตะวันตกของแนวชายฝั่ง


แคบ ๆ ยาวประมาณ 330 กม.ครอบคลุมพื้นที่ 65,758 ตารางไมล์ (170,310 ตารางกิโลเมตร) 


ชนเผ่าอเมริกันอินเดียนหลายเผ่าอาศัยอยู่ในฟลอริดาเป็นเวลาอย่างน้อย 14,000 ปี ในปี ค.ศ. 1513


นักสำรวจชาวสเปน  ฮวน ปอนเซ เด เลออน ในฐานะสมาชิกผู้พิชิตแห่งราชอาณาจักรสเปน 


กลายเป็นชาวยุโรปคนแรกที่รู้จักแผ่นดินนี้ 


โดยเรียกภูมิภาคนี้ว่า ลาฟลอริดา Juan Ponce de León ซึ่งตั้งชื่อมันว่า "la Pascua florida"


 ([la floˈɾiða]) 


ต่อมาฟลอริดากลายเป็นพื้นที่แรกในทวีปอเมริกาที่ชาวยุโรปตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร


มีแนวชายฝั่งที่กว้างขวาง มีน้ำอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง และภัยคุกคามจากพายุเฮอริเคน 


มีเอเวอร์เกลดส์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 


มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ ผู้คนกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่ในฟลอริดา ได้แก่ Apalachee ใน Florida Panhandle, Timucua 


ทางตอนเหนือและกลางของ Florida 


ในอดีตรัฐฟลอริดาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสเปน จนมาถึงถึง ค.ศ. 1820 สหรัฐได้ซื้อฟลอริดาของสเปน 


โดยทำสนธิสัญญาแอดัมส์-โอนิส  (Adams-Onis Treaty) โดยสหรัฐทำการซื้อฟลอริดามาจากสเปน


จอห์น ควินซี แอดัมส์ (John Quincy Adams) ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 6 เป็นคนจัดการซื้อรัฐนี้เข้ามา


และสร้างเขตแดนทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา โดยสเปนถือครองดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐในปัจจุบัน


แบ่งเขตแดน ระหว่างสหรัฐและสเปน ตามสนธิสัญญาแอดัมส์-โอนิส (Adams-Onis Treaty)



สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น Russo-Japanese War

 


สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น Russo-Japanese War


สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น 


เป็นการต่อสู้ระหว่างจักรวรรดิญี่ปุ่นและรัสเซีย ในช่วงปี 1904 และ 1905 


สงครามครั้งใหญ่ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20  เพราะต้องการมีอิทธิพลในบริเวณทางใต้


ของแมนจูเรียในพื้นที่คาบสมุทรเหลียวตง, เฉิ่นหยาง และบริเวณเกาหลีในพื้นที่คาบสมุทรเกาหลี, 


ทะเลเหลืองและทะเลญี่ปุ่น

สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น


ซึ่งทั้งทางจักรวรรดินิยมของจักรวรรดิรัสเซียและจักรวรรดิญี่ปุ่น ต้องการให้มาอยู่ในอิทธิพลของตัว


รัสเซียแสวงหาท่าเรือน้ำอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งสำหรับกองทัพเรือและการค้าทางทะเล


เพราะที่วลาดิวอสต็อกเปิดให้บริการเฉพาะในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น 


พอร์ตอาร์เธอร์ ซึ่งเป็นฐานทัพเรือในจังหวัดเหลียวตงที่ราชวงศ์ชิงของจีนเปิดดำเนินการตลอดทั้งปี


รัสเซียดำเนินนโยบายขยายอาณาเขตทางตะวันออกของเทือกเขาอูราล ในไซบีเรียและตะวันออกไกล


ญี่ปุ่นเกรงว่าการรุกรานของรัสเซียจะแทรกแซงแผนการที่จะสร้างขอบเขตอิทธิพลในเกาหลีและแมนจูเรีย 


เมื่อเห็นว่ารัสเซียเป็นคู่แข่งกัน ญี่ปุ่นจึงเสนอที่จะยอมรับการปกครองของรัสเซียในแมนจูเรียเพื่อแลกกับ


การยอมรับจักรวรรดิเกาหลีว่าอยู่ในขอบเขตอิทธิพลของญี่ปุ่น รัสเซียปฏิเสธและเรียกร้องให้มีการจัดตั้ง


เขตกันชนที่เป็นกลางระหว่างรัสเซียและญี่ปุ่นในเกาหลี ทางตอนเหนือของเส้นขนานที่ 39


ฝั่งญี่ปุ่นมองว่านี่เป็นการขัดขวางการที่ญี่ปุ่นจะแผ่ขยายอำนาจในเอเชียเข้าสู่แผ่นดินใหญ่


การเจรจาล้มเหลวในปี 1904 กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เปิดฉากสงครามด้วยการโจมตีกองเรือตะวันออก


ของรัสเซียอย่างไม่คาดคิดที่พอร์ตอาเธอร์ ประเทศจีน ในปี 1904 จักรวรรดิรัสเซียตอบโต้ด้วยการ


ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น


รัสเซียประสบความพ่ายแพ้หลายครั้ง พระเจ้านิโคลัสที่ 2 จากราชวงศ์โรมานอฟ* ยังเชื่อมั่นและ


ดื้อดึงจะเอาชนะญี่ปุ่นให้ได้และรอผลการรบทางเรือครั้งสำคัญ รัสเซียไม่ยอมที่จะเจรจา สันติภาพ 


ที่จะตกลงสงบศึก และปฏิเสธแนวคิดที่จะนำข้อพิพาทดังกล่าวไปยังศาลอนุญาโตตุลาการถาวร


ในกรุงเฮก


หลังจากการรบทางเรือขั้นแตกหักที่สึชิมะ สงครามได้สิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาพอร์ตสมัธ ในปี 1905


โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ธีโอดอร์ รูสเวลต์ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ชัยชนะโดยสมบูรณ์ของกองทัพ


ญี่ปุ่นทำให้ผู้สังเกตการณ์นานาชาติประหลาดใจ และได้เปลี่ยนแปลงสมดุลแห่งอำนาจทั้งในเอเชีย


ตะวันออกและยุโรป ส่งผลให้ญี่ปุ่นผงาดขึ้นมาในฐานะมหาอำนาจ


ความน่าเกรงขาม ศักดิ์ศรีและอิทธิพลของจักรวรรดิรัสเซียในยุโรปก็เสื่อมถอยลง นำมาซึ่งความ


เสื่อมถอยของราชวงศ์โรมานอฟในเวลาต่อมาอีกด้วย ส่งผลให้เกิดความไม่สงบภายในประเทศ


ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถึงจุดในการปฏิวัติรัสเซียครั้งแรกในปี 1905 เป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์โรมานอฟ


ในเวลาต่อมาในปี 1917


เป็นสงครามที่ต่อสู้กันในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีคาบสมุทรเหลียวตงและมุกเดน(เฉิ่นหยาง) 


ทางตอนใต้ของแมนจูเรีย พื้นที่ทางทะเลรอบๆ เกาหลีและหมู่เกาะญี่ปุ่น และทะเลเหลือง ระหว่างจีน


และคาบสมุทรเกาหลี เป็นโรงละครหลัก เดินทางไปสู่ความหายะของระบอบการปกครองของ


ซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียต้องเผชิญกับการปฏิวัติภายในหลายครั้ง การประท้วงและการประท้วง


ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์


สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นเป็นเครื่องหมายรับรองว่าญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจจักรวรรดินิยมโดยชาติต่างๆ 


ในยุโรป ในขณะที่ความพ่ายแพ้ของรัสเซียแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบอบซาร์และ


เร่งการล่มสลาย ซึ่งบรรลุผลสำเร็จในการปฏิวัติปี พ.ศ. 2460 (1917) 


สงครามนี้เรียกอีกอย่างว่า "มหาสงครามครั้งแรกของศตวรรษที่ 20"




3 มีนาคม วันพืชป่าและสัตว์ป่าโลก

 


3 มีนาคม วันพืชป่าและสัตว์ป่าโลก


วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก หรือ World Wildlife Day ตรงกับวันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี 


เนื่องจากเป็นวันที่ก่อตั้งภาคีอนุสัญญาไซเตส เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2516


วันพืชป่าและสัตว์ป่าโลก



วันสัตว์ป่าโลกเป็นโอกาสที่จะเฉลิมฉลองสัตว์ป่าและพืชป่าที่สวยงามและหลากหลายรูปแบบ 


และเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่าและสัตว์ป่าจำนวนมาก  


ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการปกป้องสัตว์ป่า  โลกเป็นบ้านของพืชและสัตว์หลายชนิด


มีความหลากหลายอันอุดมสมบูรณ์ ละเอียดอ่อนระหว่างรูปแบบชีวิตที่แตกต่างกัน 


เราจำเป็นต้องใช้ในการใช้ชีวิตและปกป้องชีวิตสายพันธ์อื่นๆ 


จุดมุ่งหมายประการหนึ่งของวันสัตว์ป่าโลกคือการสร้างความตระหนักถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้


การขยายเมือง ควมเจริญ การสำรวจ การทำฟาร์ม และการก่อสร้าง กำลังทำให้สัตว์ป่า


ตกอยู่ในอันตรายอยู่ตลอดเวลาเรากำลังตัดต้นไม้มากเกินไป ใช้พื้นที่มากขึ้น สร้างถนนจำนวนมาก


จนไปทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสายพันธุ์นับล้าน ความหลากหลายทางชีวภาพ


ของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง สิ่งมีชีวิตเกือบหนึ่งในสี่มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในอีก 50 ปีข้างหน้า 


เราจำเป็นต้องเคารพธรรมชาติและ ปกป้องความหลากหลายของธรรมชาติ อนุรักษ์และปกป้อง


แหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ทุกชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์







ประวัติความเป็นมา กลุ่ม G7 และรายละเอียดคร่าวๆ

 


ประวัติความเป็นมา กลุ่ม G7 และรายละเอียดคร่าวๆ


เป็นแนวคิดของเวทีสำหรับประเทศอุตสาหกรรมหลักๆ ของโลกทุนนิยมเกิดขึ้นก่อนเกิดวิกฤติน้ำมัน

ในปี พ.ศ. 2516


เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2516 จอร์จ ชุลต์ซ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา 

ได้จัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีคลังจาก


เยอรมนีตะวันตก (เฮลมุต ชมิดต์) 


ฝรั่งเศส (วาเลรี จิสการ์ด ดาสแตง) 


สหราชอาณาจักร (แอนโธนี บาร์เบอร์)


ก่อนการประชุม การประชุมที่กำลังจะมีขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน 

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเสนอให้ทำเนียบขาวเป็นสถานที่จัดงาน และต่อมาการประชุม

ก็จัดขึ้นในห้องสมุดชั้นล่าง จึงกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "กลุ่มหอสมุด" (Library Group)


ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2516 ในการประชุมฤดูใบไม้ผลิของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

และธนาคารโลก ชูลซ์เสนอให้เพิ่มญี่ปุ่น ซึ่งสมาชิกทุกคนยอมรับการรวมตัวอย่างไม่เป็นทางการ

ของเจ้าหน้าที่การเงินอาวุโสจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนีตะวันตก ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส 

กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "Group of Five" 


พุทธศักราช 2517 มีเรื่องวุ่นๆของประเทศในกลุ่มทั้ง 5 เช่น การถึงแก่อสัญกรรมอย่างกะทันหัน 

ฌอร์ฌ ฌ็อง แรมง ปงปีดู (Georges Pompidou)ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส นำไปสู่

การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ ของฝรั่งเศส  


ประธานาธิบดี Richard Nixon ของสหรัฐอเมริกาาออกเนื่องจากเรื่องอื้อฉาว


ริชาร์ด นิกสัน จาก คดีวอเตอร์เกต นิกสันจึงลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา 

ณ วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1974


ในสหราชอาณาจักร การเลือกตั้งที่ค้างอยู่ส่งผลให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยซึ่งความไม่มั่นคง

ในเวลาต่อมาส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งอีกครั้งในปีเดียวกัน


พุทธศักราช 2518  ได้ริเริ่มที่จะรวบรวมประมุขแห่งรัฐหรือรัฐบาลของเยอรมนี สหรัฐอเมริกา 

ญี่ปุ่น อิตาลี และสหราชอาณาจักรมารวมตัวกันที่แรมบุยเลต์ ในภูมิภาคปารีส ตอนแรกเป็น G6 


แนวคิดก็คือให้ผู้นำเหล่านี้พบปะกัน เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ของโลก (ซึ่งถูกครอบงำโดย

วิกฤตน้ำมันในขณะนั้น) หลังจากความสำเร็จของการประชุมสุดยอด Rambouillet การประชุมเหล่านี้

กลายเป็นทุกปี และแคนาดาได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกคนที่ 7 ของกลุ่มในการประชุมสุดยอด

เปอร์โตริโกในปีพุทธศักราช 2519


งานของกลุ่มมีการพัฒนา เหตุการณ์ทางการเมืองนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้นระหว่างประเทศ

ที่เข้าร่วมเป็นหลัก เพิ่มประเด็นทางการเมืองและสังคมจำนวนมากในวาระการประชุม โดยเฉพาะ

อย่างยิ่งในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และสุขภาพในระดับโลก


Group of Seven (G7)

Group of Seven (G7) เป็นเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลที่ประกอบด้วยแคนาดา 

ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา


สมาชิก G7 คือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าที่สำคัญของ IMF นับตั้งแต่การประชุม G7 

เกิดขึ้นจากการประชุมเฉพาะกิจของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในปี พ.ศ. 2516

นับตั้งแต่นั้นมา G7 ก็กลายเป็นการหารืออย่างเป็นทางการและมีชื่อเสียงระดับสูงสำหรับการ

อภิปรายและประสานงานแนวทางแก้ไขปัญหาสำคัญระดับโลก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า ความมั่นคง เศรษฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

หัวหน้ารัฐบาลหรือรัฐของสมาชิกแต่ละคน  พร้อมด้วยประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปและ

ประธานสภายุโรป จะพบกันทุกปีที่การประชุมสุดยอด G7 เจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นๆ ของกลุ่ม G7 

และสหภาพยุโรปจะพบกันตลอดทั้งปี สหภาพยุโรป (EU) ยังเป็นสมาชิกที่ไม่ถูกนับของการประชุม

ผู้แทนของรัฐอื่นๆ และองค์กรระหว่างประเทศมักได้รับเชิญให้เป็นแขกรับเชิญ โดยรัสเซียเคยเป็น

สมาชิกอย่างเป็นทางการ 

(ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม G8) ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2540 จนถึงถูกขับออกในปี พุทธศักราช 2557 

รัสเซียนี่ อยู่ทั้ง BRICS และ CIS แถมมีสิทธิ VETO ในสหประชาชาติอีกด้วย 

G7 ไม่ได้ตั้งอยู่บนสนธิสัญญาและไม่มีสำนักงานเลขาธิการหรือสำนักงานถาวร จัดขึ้นผ่านทาง

ตำแหน่งประธานาธิบดีที่หมุนเวียนทุกปีในหมู่รัฐสมาชิก




พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกคนแรกของไทย

 

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกคนแรกของไทย


พระยามโนปกรณ์นิติธาดา  นามเดิม ก้อน หุตะสิงห์ 


เกิด 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 


พระยามโนปกรณ์นิติธาดา


นายกรัฐมนตรีคนแรก นายกรัฐมนตรีสยามคนแรกหลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 โดยได้รับเลือก

จากสมาชิกคณะราษฎรหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (หรือ รัชกาลที่ 7)

ทรงเห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 


สภาประชาชนแห่งสยามชุดแรกประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งหมด

คณะปฏิวัติ เลือกพระยามโนปกรณ์เป็นประธานคณะกรรมการ เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนที่เป็นกลาง

ในขณะเดียวกันก็ได้รับความเคารพมากพอที่จะรับตำแหน่งนี้ตามคำแนะนำของปรีดี พนมยงค์ หนึ่งใน

แกนนำ เสนอให้พระยามโนปกรณ์ดำรงตำแหน่ง “ประธานคณะราษฎร” ซึ่งเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

รุ่นแรกๆ


ภารกิจแรกของคณะรัฐมนตรีคือการร่างรัฐธรรมนูญถาวร 

รัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยามได้ประกาศใช้ภายใต้การดูแลของพระยามโนปกรณ์เมื่อวันที่ 

10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งปัจจุบันถือเป็นวันรัฐธรรมนูญของไทย


ไม่นานหลังจากนั้น พระยามโนปกรณ์ได้ขึ้นเป็นหัวหน้ารัฐบาลตามรัฐธรรมนูญชุดแรกของสยาม

เขาได้เนรเทศนายปรีดี พนมยงค์ ไปประเทศฝรั่งเศส จากเหตุการณ์สมุดปกเหลือง และออก

พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์


พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญ

บางมาตรา ว่ากันว่าเป็น รัฐประหารด้วยปากกา ถือเป็นการรัฐประหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย

 เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "รัฐประหารเมษายน พ.ศ. 2476" (หรือ "รัฐประหารเงียบ")


พระยามโนปกรณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งให้อำนาจในการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่ามีความรู้สึกแบบคอมมิวนิสต์ 

คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสยามทั้งหมดถูกจับกุมและจำคุก 

ระดับเสรีภาพทางการเมืองก็ลดลงอย่างมากตามนโยบาย มีการเซ็นเซอร์กิจกรรมของฝ่ายซ้ายมากมาย

รวมถึงการปิดหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ต่างๆ


หลังจากเหตุการณ์ Yellow Dossier สมุดปกเหลือง วันที่ 16 มิถุนายน พระยาพหล พลพยุหเสนา 

ผู้นำกองทัพที่ทรงอำนาจที่สุดของประเทศ และสมาชิกพรรคราษฎร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสอีก 3 คน

 ออกจากคณะกรรมการราษฎร ด้วยเหตุผล "ด้านสุขภาพ"


วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ที่กรุงเทพฯ การรัฐประหารนำโดยพันเอก พระยาพหล ผลพยุหเสนา 

ต่อต้านนายกรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา การรัฐประหารถือเป็นการต่อต้าน

นโยบายของพระยามโนอันเนื่องมาจากวิกฤตเอกสารปกเหลือง (สมุดปกเหลือง)


ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่กองทัพสามารถโค่นล้มรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ


พระยามโนปกรณ์ถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที  


พระยาพหลแต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองของประเทศและเข้ารับตำแหน่งรัฐบาล 


พระยามโนปกรณ์ถูกเนรเทศไปยังปีนัง บริติชมลายา และอาศัยอยู่ที่นั่นจนเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2491 


สิริอายุได้ 64 ปี


พระยามโนปกรณ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสยามและเป็นคนแรกที่ถูกรัฐประหารโค่นล้ม 




วันนักประดิษฐ์ แห่งประเทศไทย

 


วันนักประดิษฐ์ แห่งประเทศไทย


วันนี้มีกันหลายประเทศต่างวันกันเดี๋ยวท้ายๆ จะลงไว้ว่าประเทศไหนที่มีวันวันนักประดิษฐ์บ้าง


เอาพอที่หาได้


ส่วนของไทยนั้น ประเทศไทยกำหนดให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์เป็นวันนักประดิษฐ์ของทุกปี คณะรัฐมนตรี

ของไทยได้กำหนดวันนี้เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

 ทรงพระราชทานสิทธิบัตรเครื่องเติมอากาศแบบพื้นผิวความเร็วต่ำ 

/ "เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย" (หรือ กังหันชัยพัฒนา ) 


เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536


วันนักประดิษฐ์ แห่งประเทศไทย



วันนักประดิษฐ์เป็นวันแห่งปีที่ประเทศกำหนดไว้เพื่อยกย่องการมีส่วนร่วมของนักประดิษฐ์ 

ไม่ใช่ทุกประเทศที่ยอมรับวันนักประดิษฐ์ ประเทศเหล่านั้นที่ตระหนักถึงวันนักประดิษฐ์จะทำเช่นนั้น

โดยเน้นในระดับที่แตกต่างกันและในวันต่างๆ ของปี



อาร์เจนตินา จัดขึ้นทุกปีในวันที่ 29 กันยายน


ออสเตรีย เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ วันที่ 9 พฤศจิกายน


บราซิล ตรงกับวันที่ 4 พฤศจิกายน


ฮังการี มีการเฉลิมฉลองในวันที่ 13 มิถุนายน


มอลโดวา สิ้นเดือนมิถุนายนของทุกปี


รัสเซีย ในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมิถุนายนของทุกปี


สหรัฐ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดของนักประดิษฐ์ โธมัส อัลวา เอดิสัน


เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ด้วยสิทธิบัตรในสหรัฐฯ 1,093 ฉบับในชื่อของเขา


วันนักประดิษฐ์ประเทศไทย วันนักประดิษฐ์,2 กุมภาพันธ์,กังหันชัยพัฒนา,วันสำคัญ,



รางวัลโนเบล คนแรกของสาขาต่างๆ Nobel

 


รางวัลโนเบล คนแรกของสาขาต่างๆ Nobel


รางวัลโนเบล คนแรกของสาขาต่างๆ Nobel รางวัลโนเบลคืออะไร 


รางวัลโนเบลมีกี่สาขา  ก่อตั้งโดย อัลเฟรด โนเบล  มาดูกันว่าแต่ละสาขานั้น มีผู้ที่ได้รับรางวัล

คนแรก เป็นใครบ้าง

รางวัลโนเบล


1. สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ (physiology or medicine)


- เอมีล อาด็อล์ฟ ฟ็อน เบริง (Emil Adolf von Behring) จากการค้นพบสารต้านพิษของโรค

คอตีบ เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็น "ผู้ช่วยชีวิตเด็ก" เนื่องจากโรคคอตีบเคยเป็นสาเหตุสำคัญ

ของการเสียชีวิตในเด็ก เช่นเดียวกับโรคบาดทะยักทำให้เขาได้รับชื่อเสียงและการยอมรับ 

เขาได้เปิดเส้นทางใหม่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในด้านการบำบัดด้วยเซรั่ม โดยเฉพาะ

อย่างยิ่งการประยุกต์ใช้กับโรคคอตีบ

ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ในปี ค.ศ. 1901 



2. สาขาฟิสิกส์ (physics)


- วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Röntgen) สำหรับการค้นพบรังสีเอกซ์ ตรวจพบ

รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความยาวคลื่นที่เรียกว่ารังสีเอกซ์หรือรังสีเรินต์เกน ซึ่งเป็นความสำเร็จ

ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1901 



3. สาขาเคมี (chemistry)


- ยาโกบึส แฮ็นรีกึส วันต์โฮฟฟ์ (Jacobus Henricus van 't Hoff) ค้นพบกฎของพลศาสตร์เคมี

และแรงดันออสโมติกในสารละลาย พบทฤษฎีสมัยใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเคมี สมดุลเคมี

 จลนศาสตร์เคมี และอุณหพลศาสตร์เคมี ในจุลสารของเขา เขาได้ทำนายโครงสร้างที่ถูกต้องของ

อัลลีนและคิวมูลีนตลอดจนไคราลิตีในแนวแกนของพวกมัน เขายังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

ว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเคมีเชิงฟิสิกส์เนื่องจากวินัยนี้เป็นที่รู้จักในปัจจุบัน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี

ในปี ค.ศ. 1901 



4. สาขาสันติภาพ (peace)


- เฟรเดริก ปาซีย์ (Frédéric Passy) สำหรับงานตลอดชีวิตของเขาในการประชุมสันติภาพ

ระหว่างประเทศ การทูต และอนุญาโตตุลาการ

เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมสันติภาพหลายแห่งและสหภาพรัฐสภา เขายังเป็นนักเขียนและนักการเมือง 

เขาเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อปี ค.ศ. 1901

จากผลงานของเขาในขบวนการสันติภาพยุโรป 



5. สาขาวรรณกรรม (literature)


- ซูว์ลี พรูว์ดอม (Sully Prudhomme)  เป็นนามปากกาของ เรอเน-ฟร็องซัว อาร์ม็อง พรูว์ดอม

 (René-François-Armand Prudhomme) กวีและนักเขียนชาวฝรั่งเศส 

พรูว์ดอมได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เมื่อปี ค.ศ. 1901 นักเขียนคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล

สาขาวรรณกรรม บทกวีของเขาสื่อถึงความเพ้อฝันอันสูงส่ง ความสมบูรณ์แบบทางศิลปะ และการ

ผสมผสานที่หาได้ยากของคุณสมบัติของทั้งจิตใจและสติปัญญา 



6 Economic Sciences เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์


- ครั้งแรกในปี 1969 ให้กับนักเศรษฐศาสตร์ชาวดัตช์ Jan Tinbergen และนักเศรษฐศาสตร์ชาว

นอร์เวย์ Ragnar Frisch สำหรับการพัฒนาและประยุกต์ใช้แบบจำลองแบบไดนามิกสำหรับการวิเคราะห์

กระบวนการทางเศรษฐกิจ


Jan Tinbergen (ยาน ตินเบอร์เกน) - ซึ่งเขาร่วมกับแร็กนาร์ ฟริสช์ในการพัฒนาและประยุกต์แบบ

จำลองไดนามิกสำหรับการวิเคราะห์กระบวนการทางเศรษฐศาสตร์ เขาได้รับการยอมรับอย่าง

กว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 และเป็นหนึ่ง

ในผู้ก่อตั้งเศรษฐมิติ (econometrics)



Ragnar Frisch ( แร็กนาร์ ฟริสช์ ) - นักเศรษฐศาสตร์ชาวนอร์เวย์ผู้มีอิทธิพลซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็น

หนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐศาสตร์ให้เป็นวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณและเชิงสถิติในช่วงต้น

ศตวรรษที่ 20 เขาบัญญัติคำว่าเศรษฐมิติขึ้น (econometrics) ใช้วิธีการทางสถิติเพื่ออธิบายระบบเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับคำว่าเศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค เพื่ออธิบายระบบเศรษฐกิจรายบุคคล

และระบบเศรษฐกิจรวมตามลำดับ 


ประวัติศาสตร์,รางวัลโนเบล,รางวัลโนเบลมีกี่สาขา,รางวัลโนเบล คนแรก,โนเบล,