การล่มสลายของอาณาจักรออตโตมัน




การล่มสลายของอาณาจักรออตโตมัน

   จักรวรรดิออตโตมัน (อังกฤษ: Ottoman Empire) ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 1996

(ค.ศ. 1453) หลังการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยมีคอนสแตนติโนเปิล

(อิสตันบูล) เป็นเมืองหลวง จักพรรดิเมห์เหม็ดที่ 2เป็นผู้นำในการทำสงคราม ตอนแรก

ที่ยึดคอนสแตนติโนเปิลได้ พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองคอนสแตนติโนเปิลใหม่เป็น

เมืองอิสตันบูล และเปลี่ยนโบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ที่เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ เป็นมัสยิด

ในศาสนาอิสลามซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย สวยงามวิจิตรยิ่งนัก


    ออตโตมันกว้างขวางใหญ่โต มีอาณาเขตกว้างขวางมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 ทวีป

ได้แก่ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป ซึ่งขยายไปไกลสุดถึงช่องแคบยิบรอลตาร์ทาง

ตะวันตก นครเวียนนาทางทิศเหนือ ทะเลดำทางทิศตะวันออก และอียิปต์ทางทิศใต้

ถึงแม้ออตโตมันจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็ไม่ต่างจากจักรวรรดิใหญ่ๆ ที่อื่น อย่าง

โรมันตะวันตก ไบแซนไทน์ ที่ต้องมีการเสื่อมอำนาจ คริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาติมหา

อำนาจยุโรปเริ่มตระหนักถึงความอ่อนแอของจักรวรรดิออตโตมันมากขึ้นและมีการ

จะจัดการกับอาณาจักรแห่งนี้อยู่พอสมควร แต่อาณาจักรด้วยรากฐานก็ยังคงอยู่มา

ได้จนถึง ศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิออตโตมันได้รับฉายาว่า เป็นคนป่วยแห่งยุโรป 

ฉายาดังกล่าว พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 แห่งรัสเซีย เป็นผู้ตั้งในเชิงดูหมิ่นเหยียด

หยามออตโตมัน ที่ได้เข้าร่วมสงครามไครเมีย (Crimea War) กับอังกฤษและ

ฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านรัสเซีย ในปี พ.ศ. 2397 (ค.ศ. 1854)

(เอาจริงๆ พระเจ้าซานิโคลัส เองก็ทรงหลงเชื่อคำรัสปูตินจนเป็นเหตุความไม่พอใจ

ของประชาชนจนพระองค์ต้องถูกยึดอำนาจไปด้วยเช่นกัน) เรียกว่าพอๆกันมาดูกัน

ว่าด้วยสาเหตุอะไรที่ทำให้ ออตโตมันล่มสลายลง


1. การปกครอง : ซึ่งเป็นปัญหาส่วนใหญ่เลยของทุกๆอาณาจักร อยุธยาสมัย

เสียกรุงครั้งที่ 2 ก็มีเรื่องการปกครองที่เน้นค้าขายมากจนไม่สนใจการทหารพอมีศึก

ก็ไม่สามารถเกณฑ์ไพร่พลได้ตามเป้าที่ต้องการ รวมถึงแย่งอำนาจกันอีกด้วยการ

ปกครองของผู้นำ ออตโตมัน ก็อ่อนแอมาโดยตลอดเรื่อยๆานปกครองที่ไม่มี

ประสิทธิภาพของสุลต่าน 17 พระองค์ที่ทรงครองราชย์ต่อจากสุลต่านสุไลมาน

ทำให้ออตโตมันอ่อนแอขึ้นอย่างมาก


2. ดินแดน : ยิ่งใหญ่ยิ่งดูแลจัดการ ปกครองยากโดยเฉพาะดินแดนที่ห่างไกล รวม

ปัญหาการปกครองด้วยยิ่งแล้วใหญ่เลย


3. การแย่งชิงอำนาจ : เหมือนหลายๆจักรวรรดิ รวมถึงกรุงศรีของไทยเราด้วย

ก่อนเสียกรุงมีการแย่งชิงอำนาจมาจาก กษัตริย์หลายๆพระงอค์ต่อเนื่อง ส่งผลให้

บุคลากรที่มีความสามารถ แต่มีนายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้มีอำนาจถูกตัดตอน ตาย

ไปก็เยอะ ทรัพยากรคนที่มีประสิทธิภาพคนเก่งๆจึงหายไปเยอะเช่นกันออตโตมันคง

ไม่ต่างกันแย่งชิงอำนาจกันวุ่นวาย ฆ่าพี่น้องเพื่อนป้องกันการชิงอำนาจกัน ซึ่งต่อมา

ภายหลังเปลี่ยนจากการฆ่ามาเป็นกักบริเวณแทน


4. ปัญหาภายใน : ของเชื้อพระวงศ์ หรือชนชั้นปกครองที่มีการกักบริเวณจำกัด

ขังมีผลอย่างมากต่อสุขภาพจิตเจ้าชายรัชทายาท ซึ่งได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครอง

ราชย์ในภายหลังทำให้องค์สุลต่านหลายพระองค์ ทรงมีสุขภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์

เนื่องจากถูกกักบริเวณมาเป็นเวลานาน ส่งผลต่อการบริหารจักรวรรดิและ เป็นช่อง

ให้พวกเห็นแก่ประโยชน์ทำเรื่องทุจริตได้


5. ขุนนางมีอำนาจ : คงไม่ต่างจากราชวงศ์ไทยในอดีตของกรุงศรี หรือแม่แต่

ราชวงศ์ถัง ที่มีทั้งสตรีเป็นสนมพาญาติพ่น้องเข้ามามีอำนาจในวัง หรือพระนาง

บูเช็คเทียนที่มีอำนาจมากกว่าฮ่องเต้ ขันทีทั้ง ราชวงศ์ถัง หรือราชวงศ์หมิงหรือแม้

แต่วงศ์อื่นที่มีอำนาจมากกว่าฮ่องเต้ ขุนนางจีน ก็ไม่ต่างจากขุนนางออตโตมันที่

บางคนมีอำนาจมากกว่า สุลต่านเองด้วยจึงเกิดปัญหาพรรคพวก ตัดตอน ทุจริต


6. ทุจริต : จากผู้มีอำนาจ ชนชั้นปกครองทำให้อาณาจักรอ่อนแอลงไปด้วยเช่นกัน


7. เล่นพรรคเล่นพวก : ส่งผลให้ผู้มีความรู้ความสามารถไม่ได้เข้ามาทำงานเพราะ

โดนกีดกัน กันที่ไว้ให้พวกเดียวกันเองที่จ้องจะเข้ามาทุจริต สืบต่ออำนาจกันเอง


8. สะสม : ปัญหาต่างๆมากมายสะสมรวมกันทุกด้านจนทำให้จักรวรรดิออตโตมันนั้น

ถึงการล่มสลายลงแม้ว่าจักรวรรดิออตโตมันจะเสื่อมอำนาจ  แต่ชาติตะวันตกก็ยังลังเล

ที่จะเข้ายึดครองดินแดนต่างๆ


9. เศรษฐกิจ  : ประสบปัญหาอย่างมากในขณะที่ยุโรปประสบความสำเร็จ ในการ

ปฏิวัติอุตสาหกรรม มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จักรวรรดิ

ออตโตมันกลับอ่อนแอลงตามลำดับ


10. แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1  : เป็นจุดจบหลังจากEnver Pasha ผู้นำกลุ่มเติร์กหนุ่ม

ได้รวบอำนาจปกครองประเทศไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและนำประเทศเข้าสู่สงคราม

โลกครั้งที่1 ในปี ค.ศ. 1914  โดยเข้าร่วมกับเยอรมัน งครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงโดย

เยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จักรวรรดิออตโตมันจึงตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามด้วย ต้องยอม

ลงนามสนธิสัญญา Sevres ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1920 ซึ่งเป็นผลให้จักรวรรดิ

ออตโตมันต้องสูญเสียดินแดนที่เป็นเมืองขึ้นที่เหลือในบอลข่านและ ตะวันออกกลาง

และที่ปวดร้าวที่สุดคือ อานาโตเลีย (ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย 

ที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป อานาโตเลียเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอันหลากหลาย 

มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์) ถิ่นที่อยู่ของชาวเติร์ก และอิสตันบูลได้ถูกกองกำลัง

ของชาติยุโรปที่ชนะสงครามเข้ายึดครอง การยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่พวก

ชาวเติร์กก็ไม่ยอมที่จะสูยเสียดินแดนเหล่านั้น โดยเฉพาะอนาโตเลีย ถึงแม้รัฐบาล

ออตโตมันจะไม่มีน้ำยาจัดการอะไรได้แล้วแต่ชาวเติร์กก็พร้อมจับอาวุธขึ้นสู้โดยมี

มุสตาฟา เคมาล (Mustafa Kemal) เป็นผู้นำในการต่อสู้ขับไล่กองกำลังต่างชาติ

สงครามเพื่อการปลดปล่อย (War of Liberation) จึงอุบัติขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1919

 – ค.ศ. 1923 ด้เกิดรัฐบาลขึ้น 2 รัฐบาล คือ รัฐบาลของสุลต่านออตโตมัน ซึ่งตั้ง

อยู่ที่นครอิสตันบูล และรัฐบาลแห่งสมัชชาใหญ่ตุรกี ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงอังการา การต่อสู้

เพื่ออิสรภาพก็สิ้นสุดลงด้วยการลงนามสนธิสัญญาโลซานน์ (Lausanne) เมื่อวันที่

24 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ซึ่งนำไปสู่การรับรองเขตแดนของประเทศตุรกีในปัจจุบัน

และการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกี ซึ่งมีกรุงอังการาเป็นเมืองหลวง และได้มีการยกเลิก

ระบบสุลต่าน สุลต่านเมห์เมตที่ 6 สุลต่านพระองค์สุดท้ายของออตโตมันได้เสด็จไป

ลี้ภัยในต่างประเทศ ปิดฉากประวัติศาสตร์อันยาวนานของอนาโตเลีย หรือออตโตมัน

กว่า 600 ปีลง





โรมันตะวันตกล่มสลาย




โรมันตะวันตกล่มสลาย 

    โรมันตะวันตก  หมายถึงครึ่งตะวันตกของจักรวรรดิโรมันหลังจากการแบ่งโดย

ไดโอคลีเชียนในปีค.ศ. 285 อีกครึ่งหนึ่งเป็นจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่ปัจจุบันเป็น

ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์ มีอายุในยุค ค.ศ. 286–ค.ศ. 476 

จักรวรรดิจักรโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมันจักรวรรดิโรมันจะ

มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองหลายอย่างแต่กระนั้นก็ยังประสบกับ

กระบวนการการเป็นโรมัน (Romanization) ทางตะวันออกเป็นวัฒนธรรมกรีกที่มี

อิทธิพล ความยิ่งใหญ่นี้ได้รับผลมาจากอดีตกาลผ่านมาตั้งแต่ยุค อเล็กซานเดอร์

มหาราช ต่อมาอ็อคเตเวียนยึดอาฟริกาจากเลพิดัส และเพิ่มอาณานิคมซิลิคา 

(ซิซิลีปัจจุบัน) เข้ามาอยู่ในอำนาจการปกครองเมื่อได้รับชัยชนะต่อมาร์ค แอนโทนี

แล้วอ็อคเตเวียนก็รวมดินแดนต่างๆ ก่อตั้งเป็นจักรวรรดิโรมัน จักรพรรดิธีโอโดเซียส

ที่ 1 ทรงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ทรงปกครองจักรวรรดิโรมันที่รวมตัวกันแต่หลัง

จากพระองค์ได้สวรรคตลงไป โรมันก็ได้แยกตัวออกจากกันเป็น 2 อาณาจักร คือ 

โรมันตะวันออก และ โรมันตะวันตก จักรวรรดิโรมันตะวันตกสิ้นสุดลงเมื่อโรมิวลัส 

ออกัสตัสสละราชสมบัติโดยการบีบบังคับของโอโดเซอร์เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 

476 และล่มสลายลงอย่างเป็นทางการจากการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิจูเลียส 

เนโพส (Julius Nepos) ในปี ค.ศ. 480  ถึงแม้ในช่วงยุคกลางจะมีการฟื้นฟู 

กลับมาเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ Holy Roman Empire เป็นการรวมตัวของ

รัฐต่าง ๆ ในยุโรปกลางในสมัยกลางมาจนถึงยุโรปสมัยใหม่ตอนต้นภายใต้การ

ปกครองของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

(นั้นเรื่องยาวไป มาต่อที่การล่มสลายของโรมันตะวันตก)

การล่มสลายของ จักรวรรดิอาณาจักรโรมัน

 สาเหตุของการล่มสลายของโรมันตะวันตก คือ


1. การแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก : การแก่งแย่งชิงดีของชนชั้นครองฆ่าตัดตอนกัน

เพื่อเป็นใหญ่ในกรุงโรม มีเหตุการณ์จนทำให้ชาวดรมไม่พอใจอยู่พอสมควร


2. สงครามกลางเมือง : ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักในกรุงโรม รวมถึงสภาพ

รวมของอาณาจักรโรมันตะวันตก


3. การรุกราน : จากชนเผ่าเยอรมัน ในยุโรปกลางและตะวันออก สร้างปัญหาใน

แดนห่างไกลตามชายแดนของอาณาจักรและรวมถึงสร้างความเสียหายใหญ่ให้แก่

เมืองหลวง


4. ถูกแบ่ง : ความอ่อนแอเพราะอาณาจักรมีขนาดใหญ่เกินไป จึงถูกแบ่งเป็น โรมัน

ตะวันออก และ โรมันตะวันตก แต่เมื่อถูกแยกไปส่วนที่อ่อนแอและมีปัญหาก็ไม่สามารถ

อยู่รอดได้เช่นกัน


5. สภาพบ้านเมือง : อยู่ในจุดที่มีความเสี่ยงต่อสงครามการรุกราน รวมไปถึงไม่ใช่

เส้นทางหลักของการค้าขาย เส้นทางการค้า


6. การอพยพ :  จากพวกเยอรมัน ที่หนีชาวฮันทางฝั่งเอเชีย  รวมถึงชาวเผ่า วิสิโกธ

หนึ่งในอนารยชนกลุ่มชนเจอร์มานิคต่าง ๆ ที่เข้ามารุกรานจักรวรรดิโรมันตอนปลาย ที่

ทำการยึดแคว้นดาเชีย (Dacia โรมาเนียในปัจจุบัน) เป็นที่มั่นหลังจากที่เอาชนะ

ทัพโรมันมาได้



7. วิซิกอทนำทัพบุกยึดกรุงโรม : นำโดย พระเจ้าอลาริค (Alaric) เผาทำลาย

เมืองจนพินาศ  จักรพรรดิโฮโนริอุสจึงยกแคว้นอากีแตนในฝรั่งเศสปัจจุบันให้

ซึ่งไปจัดการพวกแวนดัลได้ พวกแวนดัลหนี และนำทัพเข้ามาทำลายกรุงโรมแทน


8. จุดจบ : ใน ค.ศ. 476 โอโดอาเซอร์ (Odoacer) จากเผ่าเยอรมันโจมตีกรุงโรม

และปลดจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งฝั่งตะวันตก คือ  จักรพรรดิโรมุลุส ออกุสตุส



จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็ล่มสลายไปก่อน โรมันตะวันออกกว่าพันปี จนโรมันตะวัน

ออกหรือไบแซนไทน์ มาโดนออตโตมันตีแตกยึดเมืองไปต่อมาอาณาจักรออตโตมันก็

กลายเป็นคนป่วยของยุโรป และออตโตมันล่มสลายไป อาณาจักรใหญ่ในอดีตล่มสลาย

กันแบบนี้ตลอดเพราะปัญหาภายใน หรือแม้กระทั่งการปกครอง ขนาดของจักรวรรดิ

ไม่มีอาณาจักรไหนจะยิ่งใหญ่ได้ตลอดไป แม้กระทั่งดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน

อย่างจักรวรรดิอังกฤษ ในปัจจุบันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าในอดีตแน่นอน อเมริกาในปัจจุบัน

ที่มีการปกครองแบบรัฐของอเมริกา แลดูแข็งแกร่ง มีอำนาจไปทั่วโลกแต่ก็ไม่ได้

หมายความว่าในอนาคตอเมริกาจะยังคงสภาพเป็นมหาอำนาจได้ต่อไปเก่าไปใหม่มา

เสมอ รัสเซียก็ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จีนก็กำลังพัฒนาตัวเอง มีกลุมประเทศหลายๆกลุ่มที่

ไม่พึ่งพาอเมริกาก็เยอะอำนาจเปลี่ยนผ่านไปแต่ละยุคๆ อยู่ที่ว่าใครจะรักษาความ

ยิ่งใหญ่ของตัวเองได้นานกว่ากัน





จักรวรรดิไบแซนไทน์ (โรมันตะวันออก)




จักรวรรดิไบแซนไทน์ (โรมันตะวันออก)

  จักรวรรดิไบแซนไทน์ เป็นจักรววรรดิที่สืบทอดโดยตรงจากจักรวรรดิโรมันในปลาย

สมัยโบราณ และยุคกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลคอนสแตนติโนเปิล

ตั้งอยู่ระหว่างโกลเด็นฮอร์น (Golden Horn) และทะเลมาร์มารา (Sea of Marmara)

ตรงจุดที่ทวีป ยุโรปพบกับทวีปเอเชีย ไบแซนไทน์คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง

ของคริสต์ศาสนจักรต่อจากกรีกโบราณ และโรมันโบราณ ตลอดยุคกลางคอนสแตนติ

โนเปิลเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ซึ่งถูกเรียกว่า โรมันตะวันออก ในขณะที่

ยังมีอาณาจักรแฝดอยู่คือโรมันตะวันตก




  จักรวรรดิโรมันหลังจากการแบ่งโดยไดโอคลีเชียนในปีค.ศ. 285 อีกครึ่งหนึ่งเป็น

จักรวรรดิโรมันตะวันออกที่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์

"จักรวรรดิไบแซนไทน์" และ "จักรวรรดิโรมันตะวันออก" เป็นคำทางภูมิประวัติ

ศาสตร์ที่สร้างขึ้นและใช้กันในหลายศตวรรษต่อมา จักรวรรดิยังถือว่าตนเองเป็นโรมัน

จนกระทั่ง จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ส่วนตะวันออกยัง

ดำเนินต่อมาอีกพันปีจักรพรรดิคอนสแตนตินจะสถาปนานครคอนสแตนติโนเปิลให้เป็น

เมืองหลวง มีเอกลักษณ์ ความเป็นตัวเองอย่างเด่นชัด ความรุ่งเรืองด้านการค้า และ

วิทยาการ มากกว่าอาณาจักรเก่าอย่างโรมันตะวันตกเพราะฝั่งนั้นมีทั้งปัญหาเศรษฐกิจ

และการรุกรายจากชนเผ่านอกอาณาจักรอยู่บ่อยครั้งจนไม่สงบสุข โรมันตะวันออกก็ยัง

คงรุ่งเรื่องด้านการค้าเป็นศูนย์กลางเส้นทางการค้า ที่สำคัญของแถบนั้น จนความมั่งคั่ง

และรุ่งเรือง ความรุ่งเรืองถึงขีดสุดของจักรวรรดิไบเซนไทน์  จักรวรรดิไบแซนไทน์

เจริญถึงขีดสุดในรัชสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของ

อาณาจักรเองนั้นก็ส่งผลเสียทั้งการปกครอง และความกว้างขวางของอาณาจักรทำให้

ปกครองได้ยากยิ่งขึ้น รวมถึงชวนให้ศัตรูจาก เผ่าอื่นมีความต้องการที่จะครอบครอง

ไบแซนไทน์มากยิ่งขึ้นจนทำให้ผู้รุกรานคือการบุกรุกของชาวเติร์ก อย่าง อาณาจักร

ออตโตมัน ในที่สุดหลังจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ อาณาจักรใหญ่ในอดีตก็ล่มสลายลง

โดยพวกออตโตมัน จบความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ลงไป

ใน ค.ศ. 1453หลังจากที่คอนสแตนติโนเปิลถูกล้อมและยึดเมืองได้โดย

สุลต่านเมห์เมดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมันคอนสแตนติโนเปิลจึงได้กลายเป็น

เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมันและได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอิสตันบูลมาจนถึง

ปัจจุบันต่อไป





ฝรั่งเศสอยากได้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไป (ลาว )เพื่ออะไร




ฝรั่งเศสอยากได้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง

 ฝรั่งเศสอยากได้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไป (ลาว )เพื่ออะไร


      ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอาณาจักรล้านช้างหรือประเทศลาวนั้นเสียให้แก่ฝรั่งเศส

ในสมัยรัชกาลที่ 5 พื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 143,000 ตร.กม. ให้แก่ฝรั่งเศสในวันที่

 3 ตุลาคม 2436  ซึ่งถือว่าเป็นการเสียดินแดนครั้งใหญ่มากของสยาม ฝรั่งเศสนั้น

อ้างสิทธิเหนือดินแดนลาวเพราะให้เหตุอ้างว่าดินแดนลาว ลานช้างนั้นเคยเป็นของ

ญวนมาก่อน (ญวน คือเวียดนาม) 

เมื่อญวนตกอยู่ภายใต้อำนาจเป็นอาณานิคม

ของฝรั่งเศสแล้ว ลาวจึงต้องตกเป็นของฝรั่งเศส

ด้วย (เป็นความปรารถนาของนายโอกุสต์ ปาวี 

รองกงสุลฝรั่งเศสประจำนครกรุงเทพ)


    สยามไม่ยอมรับในข้อนี้จึงได้เกิดการต่อรบกันขึ้น โดยฝรั่งเศสนำเรือรบเข้ามาต่อสู้

กับสยามเข้ามาปิดแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วหันปากปืนใหญ่เข้ามาทีมหาราชวังพระบรม

มหาราชวังเหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่าวิกฤติการณ์ปากน้ำ( Paknam Incident )

13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 หรือวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสจึงยื่นคำขาดมาทาง

สยาม เราจึงจำต้องยกดินแดนให้ฝรั่งเศสไป พร้อมทั้งต้องจ่ายค่าเสียหายแก่ชีวิต

และทรัพย์สินของฝรั่งเศสที่เสียหายจากการสู้รบอีกด้วยรัชกาลที่ 5 จำต้องเอา

เงินถุงแดง ออกมาใช้เพื่อชดใช้ค่าเสียหายจากการรบให้ฝรั่งเศส


เพราะเหตุใดฝรั่งเศสจึงอยากได้ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงนัก 

เราลองมานั่งดูเหตุผลกันครับ


1. เพื่อเป็นเกียรติ-ความยิ่งใหญ่ : ฝรั่งเศสนั้นต้องการอาณานิคมเพื่อไว้ซึ่งเกียรติ

และความยิ่งใหญ่ของตัวเพื่อแข่งกับเจ้าอาณานิคมอื่นๆ อย่างอังกฤษที่ได้ชื่อว่า

(ดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน) หรือฮอลันดา และอื่นๆอีก


2. รุกจีน : ฝรั่งเศส ต้องการที่จะใช้แม่น้ำโขงรุกเข้าทางตอนใต้ของจีนเพื่อผล

ประโยชน์ทางการค้า และเข้าไปยึดครองแผ่นดินบางส่วนของจีนอันนี้ก็ไม่สามารถ

ทราบได้ เพราะในจีนก็มีต่างชาติหลายประเทศเข้าไปมีอิทธิพลและส่วนแบ่งอยู่

พอสมควร รวมถึงรัสเซียด้วย ฝรั่งเศส แม้กระทั้งอังกฤษ ก็อยากจะเข้าไปร่วมด้วย

เช่นกัน


3. ทรัพยากร : ทรัพยากรนั้นดูแล้วฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงหรือลาวนั้นอาจจะมีน้อย

กว่า เวียดนาม โบราณสถานก็ไม่มากเท่าเขมร แต่ด้วยว่ามีไม้สักหรือคิดว่ามีทอง

ด้วยจึงอยากได้ไว้ อีกอย่างเพื่อคุมสายน้ำได้ด้วย (แม่น้ำโขง)


 3 ข้อเท่าที่พอสังเกตุได้ หลักๆเลยคือ รุกเข้าตอนใต้จีนเพื่อไปสร้างอิทธิพลจะการค้า

หรือดินแดนก็แล้วแต่ที่ฝรั่งเศสต้องการ แต่ก็เหมือนคราวที่แม่น้ำแดง คือฝรั่งเศส

ผิดพลาดในการสำรวจ จะใช้แม่น้ำโขงเดินเรือเข้าไปทางตอนใต้ของจีนน้ำทำแทบ

ไม่ได้เลยเพราะว่าเกาะแก่งในแม่น้ำโขงแก่งหิน ไม่เหมาะสมแก่การเดินเรือทำให้

ฝรั่งเศสตกไปในข้อนี้แต่ยึดมาได้แล้วเนี้ยก็หาทางยึดกันต่อ โดยฝรั่งเศสได้ตกลง

กับอังกฤษไว้ว่าจะแบ่งส่วนให้สยามเป็นเหมือนดินแดนกันชนเหลือไว้ถึงแค่

แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ด้วยพระปรีชาของรัชกาลที่ 5 ที่ไปผูกสัมพันธ์กับ เยอรมัน

รวมถึงรัสเซียเอาไว้ทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้นพระองค์เน้นวิธีเจรจาถ้อยทีถ้อย

อาศัยทำให้ประเทศไทยยังคงเหลือดินแดนไว้มากมายถึงเพียงนี้ ไม่งั้นภาคอีสาน

ทั้งภาคคงโดนฝรั่งเศสสอยไปแล้วเหลือไว้แค่กลางกับใต้เท่านั้น





กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty 2




กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty 2

    ราชวงศ์หมิง ในหน้าแรกพูดไปแล้วสำหรับ "กษัตริย์และราชวงศ์หมิง

6 พระองค์ มาหน้านี้ต่อกันที่พระองค์ที่ 7 ถึง พระองค์สุดท้าย หรือคนสุดท้ายของ

ราชวงศ์หมิง กันเลยครับ

กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty


7.จักรพรรดิจิ่งไท่ Jingtai Emperor : ยึดบัลลังก์มาจากพี่ชาย ภายหลังโดนยึด

คืนไป มนสมัยของพระองค์ทรงทำสงครามชนะมองโกลที่มารุกราย ทรงจัดการบ้าน

เมืองให้เรียบร้อย กำจัดอำนาจของขันทีออกไป (ขันทีอีกแล้ว) แต่ไม่ทรงที่จะกล้า

ไปรับพระเชษญากลับมาเพราะเกรงว่าจะทำลายความมั่นคงของราชบัลลังก์ที่พระองค์

นั่งอยู่แต่ในที่สุดก็ได้ไปรับอดีตฮ่องเต้กลับมาตามคำแนะนำของยู่เฉียน โดยให้มีคน

เฝ้าพระตำหนักไม่ให้พบปะคนนอกได้เพื่อป้องกันการยึดอำนาจคืนแต่ต่อมาฮ่องเต้จิ่งไท่

ก็ประชวรหนักขุนนางต่างหารือเพื่อหาทายาทขึ้นมาสืบบัลลังก์หารือว่าจะตั้งจูเจี้นเซิน

หรือจูเจี้ยนจี๋ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่ทหารของ อดีตฮ่องเต้เจิ้งถง ก็เข้ามาล้อมวัง ยึดอำนาจ

ตั้งตนเองกลับเป็นฮ่องเต้เสียใหม่ ฮ่องเต้จิ่งไท่จึงได้สิ้นพระชนม์ในวันนั้นขุนนางฝ่าย

ของยูเฉียนจึงถูกประหารชีวิตไปมาก ข้อหาขบถทรยศต่อฮ่องเต้เจิ้งถง

กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty


8. จักรพรรดิเฉิงฮว่า Chenghua Emperor : เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิเจิ้งถง

ทรงครองราชย์เมื่อพระชนม์ได้เพียง 17 พรรษา พระองค์ต้องเป็นฮ่องเต้อีกคนนึงซึ่ง

อ่อนแอ ไม่สามารถจัดการกับอำนาจของขันทีในวังได้ต้องตกอยู่ในวงอำนาจของเหล่า

ขันทีพวกนั้นทรงไม่มีอำนาจอะไรมากนักและไม่ชอบว่าราชกิจเพราะไม่ทรงแข็งพอ

ควบคุมขุนนาง งานต่างๆจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจขันทีแทน (ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง 

จูหยวนจางพระองค์ อุตส่าทำให้อำนาจขันทีลดลงแล้วแท้ๆ)


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty


9. จักรพรรดิหงจื้อ Hongzhi Emperor :  เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิเฉิงฮัว

ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหงจื้อ ขณะพระชนม์ 17 พรรษา ตลอด 18 ปีในรัชกาล

ทรงทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty

10. จักรพรรดิเจิ้งเต๋อ Zhengde Emperor : ตลอดรัชกาลของพระองค์เริ่มมีชาติ

ในยุโรปเข้ามาติดต่อทำการค้าและเจริญสัมพันธไมตรีมากมายซึ่งทำให้เจริญก้าวหน้า

มากเพิ่มขึ้นจากสมัยของฮ่องเต้หงจื้อ


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty

11. จักรพรรดิเจียจิ้ง Jiajing Emperor : ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเจียจิ้ง โดย

มีพระชนมายุเพียง 14 พรรษาในรัชกาลของพระองค์นั้นทรงมุ่งเน้นไปที่เป็นยุคแห่ง

ความเจริญด้านศิลปะและศาสนา ทรงเน้นเรื่องศิลปะโดยเฉพาะเครื่องลายคราม

และเรื่องศาสนาโดยเฉพาะลัทธิเต๋า โดยโปรดให้สร้างวิหารแห่งพระอาทิตย์รวมถึง

สร้างวิหารและสถาปัตรยกรรมทางศาสนาหลายแห่งรวมถึงต่อเติมหอสักการะแผ่นดิน

และฟ้า (เทียนตี้ถัน) และให้เปลี่ยนชื่อเป็น "หอสักการะฟ้า" (เทียนถัน)แต่ในรัชกาล

ของพระองค์ก็มีเหตุร้ายใหญ่อยู่ด้วย 1 อย่างคือ  เกิดแผ่นดินไหวครั้งที่รุนแรงที่สุดที่

มณฑลส่านซี ในปี ค.ศ. 1556 (พ.ศ. 2099) ตรงกับปีที่ 35 ในรัชกาล มีผู้เสียชีวิตกว่า

800,000 คน


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty

12. จักรพรรดิหลงชิ่ง Longqing Emperor : ทรงเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแอ และทรง

บริหารราชการแผ่นดินได้ไม่ดี เป็นคนใจดีมีเมตตา เป็นที่รักของประชาชนแต่ด้วยความมี

เมตตาของพระองค์นั้นทำให้บรรดาขุนนางนั้นหาประโยชฃน์ทุจริตมากมายขุนนางไร้

ความสามารถ หาแต่ประโยชน์


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty

13. จักรพรรดิว่านลี่ Wanli Emperor : พระองค์ทรงเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและเป็น

ที่เชื่อฟังพระเสาวนีย์ของพระพันปีหลวง และเป็นศิษย์ที่ดีของพระอาจารย์ ด้วยการชี้นำ

ของจางจวีเจิ้ง ทำให้แผ่นดินมีความมั่นคงอย่างมาก เงินในท้องพระคลังมีมากมาย

มหาศาล แต่เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชันษาขึ้น ทรงเริ่มมีการเบื่อหน่ายในราชการ

แผ่นดิน ทำพระองค์เสเพล สรรหาแต่ความรื่นเริง จนเกือบโดนถอดออกจากฮ่องเต้

ในรัชกาลของพระองค์ได้มีบาทหลวงคณะเยซูอิตเข้ามาที่ต้าหมิง เพื่อเผยแผ่ศาสนา

ด้วย


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty

14. จักรพรรดิไท่ชาง Taichang Emperor : เมื่อขึ้นครองราชย์ได้สัปดาห์เดียวก็

เกิดประชวรขึ้น เพราะพระองศ์ฝักใฝ่ในกามอารมณ์ สนมคนโปรดของจักรพรรดิหว่านลี่

ได้ส่งสาวงามไปให้จนพระองศ์ประชวร ขันทีผู้น้อยคนหนึ่งได้ถวายยาเม็ด เมื่อพระองศ์

เสวยแล้ว อาการก็ทรุดหนักลงจนสิ้นพระชนม์


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty

15. จักรพรรดิเทียนฉี่ Tianqi Emperor : ขึ้นครองราชในตอน 15 พรรษาตลอด 7 ปี

ในรัชกาลมีกบฏเกิดขึ้นหลายครั้ง 1620 -1627


กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty

16. จักรพรรดิฉงเจิน Chongzhen Emperor : พรรดิฉงเจินทรงมุ่งมั่นที่จะกอบกู้

สถานการณ์ระส่ำระสายยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในราชสำนักจากความขัดแย้งระหว่างขันทีกับ

ขุนนางราชสำนักจีนต้องประสบภาวะภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ผู้คนขาดแคลนล้มตาย

ขุนนางในหัวเมืองฉ้อฉล ขูดรีดทรัพย์สิน กลั่นแกล้งประชาชนอย่างต่อเนื่อง ราชสำนัก

แก้ไขปัญหาไม่ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้างจนก่อเกิดเป็นกบฏ

ชาวนาหลี่จื้อเฉิง อดีตนายทหารผู้น้อย เริ่มรวบรวมสมัครพรรคพวกก่อการต่อต้านราช

สำนักขึ้นจนสามารถยึดเมืองซีอานได้และเข้าปิดล้อมปักกิ่งได้อย่างรวดเร็วทหารหลวง

ของหมิงไม่สามารถต้านทานได้ จนขันทีแอบเปิดประตูเมืองให้หลี่จื้อเฉิงเข้ามาได้ล้ม

ราชวงศ์หมิงลงจักรพรรดิฉงเจินเสด็จหนีขึ้นไปยังเขาเจียงซาน ด้านเหนือของพระราชวัง

หลวง และผูกพระศอองค์เองกับต้นไม้ สวรรคตขณะมีพระชนมายุสามสิบสี่ชันษาและ

เป็นเหตุให้ อู๋ ซานกุ้ยที่โดนหลี่จื้อเฉิง คุกคาม ขณะนั้นอู๋ ซานกุ้ยเป็นแม่ทัพใหญ่รักษา

ด่านซันไห่กวนอันเป็นด่านหนึ่งของกำแพงเมืองจีน เป็นด่านสำคัญที่ป้องกันการรุกราน

จากศัตรูทางทิศเหนือของปักกิ่ง อู๋ ซานกุ้ยไร้ทางเลือกจึงเปิดพด่านให้แมนจูเข้ามาปราบ

หลี่จื้อเฉิงได้สำเร็จและได้เข้ามาปกครอง จีนต่อจากราชวงศ์หมิงเป็นเหตุให้ราชวงศ์หมิง

อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่เป็นชาวฮั่นที่ปกครองจีนมานานกว่า 4,000 ปี ต้องล่มสลายลง

อู๋ ซานกุ้ยจึงได้รับราชการในแผ่นดินแมนจูต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผิงซีอ๋อง ปกครอง

มณฑลยูนนาน ชายแดนทางตอนใต้ ในรัชสมัยฮ่องเต้ซุ่นจื้อจักรพรรดิองค์ที่ 3 ของ

ราชวงศ์ชิงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ได้ประทับในพระราชวังต้องห้ามที่กรุงปักกิ่ง

และราชวงศ์หมิงถึงกาลสิ้นสุดอย่างแท้จริง





กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty




ราชวงศ์หมิง


กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty

    ราชวงศ์หมิง หรือ ราชวงศ์เบ๋ง (ฮกเกี้ยน) หรือ ราชวงศ์เม้ง (แต้จิ๋ว)  นั้นเป็น

ราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรจีนต่อจากราชวงศ์หยวนของมองโกล สามารถขับไล่ชน

ชั้นปกครองราชวงศ์หยวนออกไปจากแผ่นดินจีนและกำจัดศัตรูต่างๆออกไปได้แต่ก็มา

พ่ายแพ้ให้แก่ราชวงศ์แมนจู(ราชวงศ์ชิง) สืบเนื่องจากเกิดความไม่พอใจของประชาชน

จนเกิดกบฎชาวนาของหลี่จื้อเฉิง รวมถึงเป็นเหตุให้ อู๋ ซานกุ้ยขุนนางหมิง เปิดประตู

ให้ชาวแมนจูเข้ามาจนได้รวบรวมและโค่นล้มหมิงของชาวฮั่นลงเสีย นับว่า

ราชวงศ์หมิง เป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ ปกครองด้วยชาวฮั่นอย่างแท้จริงระยะเวลาการ

ปกครองของ ราชวงศ์หมิง คือ  พ.ศ. 1911 (ค.ศ. 1368) ถึง พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1644)

เป็นเวลารวม 276 ปี ของประวัติศาสตร์จีน


ฮ่องเต้ จักรพรรดิหรือกษัตริย์ที่ปกครองราชวงศ์หมิง

กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty

1. จักรพรรดิหงอู่ .. หมิงไท่จู่ จูหยวนจาง Hongwu Emperor : จูหยวนจาง

ยกทัพบุกถึงนครต้าตูเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน จักรพรรดิซุ่นตี้เห็นเหลือกำลังที่จะ

รับมือจึงพาเหล่าพระญาติพระวงศ์และชาวมองโกลหนีออกนอกด่านไปอยู่ที่เมืองซ่างตู

จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเป่ยผิง ประกาศตั้งราชวงศ์ต้าหมิง สถาปนาตนเองขึ้นเป็น

ฮ่องเต้ทรงพระนามว่าหมิงไท่จู่ ในรัชกาลแรกของพระองค์นี้ได้ทำการพัฒนาประเทศ

ไปในทางที่ดีทั้งเศรษฐกิจ การปกครอง ลงโทษผู้กระทำผิดและเป็นภัยต่ออำนาจ

พระองค์อย่างเด็กขาด ที่สำคัญทรงศึกษาความล้มเหลมของราชวงศ์อื่นๆมาปรับใช้

ทรงสั่งห้ามขันทีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง (แบบที่ราชวงศ์ถังช่วงกลางและปลายที่

ปัญหาเพราะขันทีมีอำนาจมากเกินไป) และรวบรวมอำนาจเข้ามาไว้ที่พระองค์ให้มาก

ขึ้นเรียกได้ว่าพระองค์กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างแท้จริง

กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty

2. จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน Jianwen Emperor : ในสมัยนี้เป็นสมัยแห่งสงคราม

กลางเมืองเนื่องจาก จูหยวนจางหรือจักรพรรดิหงอู่นั้น ส่งต่อราชบัลลังค์ให้แก่

หลานของตนซึ่งเป็นลูกของลูกรักพระองค์ทำให้ ลูกชายของพระองค์ เหล่าบรรดา

องค์ชายทั้งหลายไม่พอใจ ต่อมาเพื่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินทรงครองราชย์ด้วยวัย

21 พรรษาแล้วนั้นได้ทำการลดทอนอำนาจของฮ๋องต่างๆ (พระเจ้าอาของพระองค์

นั่นเอง) ทั้งโยกย้ายกำลัง ปรับตำแหน่งต่างๆนาๆ เพื่อลดทอนอำนาจ ครั้นถึงคราว

รัฐเอี๋ยนของ จู้ตี้ต้องโดนแยกอำนาจนั้น เขาได้แก้ลำโดยการยกทัพโดยใช้เหตุผล

อ้างว่ามาปราบขุนนางชั่วรอบกายองค์จักรพรรดิ จึงได้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง

ยืดเยื้อกันอยู่ 3 ปี จนในที่สุดสามารถเข้าเมืองหลวงและวังต้องห้ามได้ พบว่าวังต้อง

ห้ามนั้นเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ จักรพรรดิเจี้ยนเหวินหายไป เมื่อยึดครองเมืองอิ้งเทียน

ได้แล้ว จูตี้จึงปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทรงมีพระนามว่าหมิงเฉิงจู่ (หย่งเล่อ) 

ต่อมาอีก 39 ปี ในรัชศกจ้งถ่ง มีผู้พบพระภิกษุชรารูปหนึ่งที่มีคนจำได้ว่าคือจักรพรรดิ

ฮุ่ยตี้ (พระจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน)

กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty


3. จักรพรรดิหย่งเล่อ Yongle Emperor : พระองค์เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของฮ่องเต้

จูหยวนจางปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง หลังจากสงครามกลางเมืองกับหลานของ

ตัวเองและสามารถก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ได้ในปี ค.ศ.1402 ทรงตัดไฟแต่ต้นลมประหาร

ขุนนางที่คิดว่าเป็นภัยต่อพระองค์ไปเบาๆ เกือบพันคน (นั่นเบาแล้วหรอ) ลดอำนาจอ๋อง

ต่างๆห้ามมีทหารรักษาประจำเมืองมีได้แค่ทหารรักษาพระองค์ของอ๋อง องค์นั้นๆ ห้าม

เจ้าเมืองต่างๆคิดติดต่อกันโดยไม่ได้รับพระราชานุญาตจากพระองค์ฮ่องเต้หย่งเล่อทรง

ย้ายราชธานีไปอยู่ที่เป่ยผิงอันเป็นฐานที่มั่นของพระองค์ด้วยเหตุผลว่าป้องการรุกราน

ของชนกลุ่มน้อยทางเหนือ (มีกำแพงเมืองจีนอยู่แล้วจะกลัวไร อ่ะล้อเล่น) และทรงให้

สร้างพระราชวังต้องห้ามขึ้นที่นั่นพระองค์จึงทรงย้าย จากกรุงนานกิงมาประทับที่กรุง

ปักกิ่ง เป็นการถาวร พระองค์ทรงมีการศึกต้องอกไปสู้กับมองโกลอยู่หลายครั้ง พระองค์

ทรงรวบรวมราชบัณฑิตกว่าสองพันคน พร้อมด้วยผู้อำนวยการใหญ่ 5 คน รองผู้อำนวย

การอีก 20 คน จัดทำ “หย่งเล่อต้าเตี่ยน” สารานุกรมรวบรวมความรู้ทางวิชาการสาขา

ต่างๆ เรียกว่าสารานุกรมหย่งเล่อ ในยุคสมัยของพระองคืนั้นยังได้สนับสนุนการออก

เดินทางไปรอบโลกนำโดย เจิ้งเหอ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก หย่องเล่อให้เป็นหัวหน้า

ขันที ต่อมาได้รับพระราชทานแซ่เจิ้ง จึงเรียกขานว่า "เจิ้งเหอ" โดยให้เดินทางสำรวจ

เดินเรือสำรวจทางทะเลในระยะเวลา 28 ปี กองเรือของเจิ้งเหอออกสำรวจทางทะเลรวม

 7 ครั้ง ไปไกลถึง อินเดีย แอฟริกา นำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับชาติต่างๆ รวมทั้งเข้ามา

ถึงกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์ก็ยังมีสถาปัตยกรรมเด่นที่ปัจจุบันนับ

ว่าเป็นอีก 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยทีเดียวนั่นก็คือ

                                                          เจดีย์กระเบื้องเคลือบที่นานกิง

พระองค์เป็นฮ่องเต้ที่มากด้วยความสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่และทำให้แผ่นดิน

เป็นปึกแผ่นอีกด้วย

กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty


4. จักรพรรดิหงซี Hongxi Emperor :  องค์ชายจูเกาจื้อ ขึ้นครองราชย์ต่อจาก

พระราชบิดา มีพระนามว่าหมิงเหยินจง พระองค์มีแผนที่จะย้ายเมืองหลวงกลับมาที่

นานกิงเหมือนเดิม และจะยกเลิกกองเรือสำรวจของเจิ้งเหอ แต่ด้วยพระองค์ทรง

ประชวรและสวรรคตไปเสียก่อนทั้งๆที่เพิ่งครองราชย์ได้ไม่ถึง 10 เดือนทำห้ทุกอย่าง

ต้องล่มลง

กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty


5. จักรพรรดิเซฺวียนเต๋อ ..หมิงซวนจง หรือ จูเจียนจี  Xuande Emperor :

ทรงมีพระทัยเมตตาในตอนต้นรัชกาลได้ปราบกบฎแต่ก็มิได้ลงโทษใดๆทรงให้เจิ้งเหอ

ออกเดินทางสำรวจครั้งที่ 7 (ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย) พรองค์ทรงครองราชย์ได้ 10 ปี ก็

สวรรคตเมื่อพระชนมพรรษา 36 พรรษา

กษัตริย์และราชวงศ์หมิง Ming dynasty


6. จักรพรรดิเจิ้งถง Zhengtong Emperor : พระองค์ได้ถูกจับตัวไปเป็นเชลย

ตอนที่ไปรบกับมองโกลทางราชสำนักจึงตั้งพระอนุชา(น้องชาย)ของพระองค์ขึ้นครอง

ราชย์แทนเป็นจักรพรรดิจิ่งไถ่ เมื่อจักรพรรดิเจิ้งถ่งทรงถูกปลอยตัวกลับมาก็ถูกพระอนุชา

ที่เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่จับขังไว้ แต่พระองค์ก็ได้ทรงยึดอำนาจกลับขึ้นครองราชย์อีกครั้ง

ในรัชสมัยของพระองค์ยังมี กบฏเฉาฉิน ซึ่งเกิดมีเหตุให้โดนเผาประตูวังแต่ดีที่ฝนตกลง

มาดับเสียก่อน ฝ่ายกบฏ เห็นท่าสู้ไม่ได้เลยหนีกลับไป หัวหน้ากบฏเฉาฉินได้รับบาดเจ็บ

หนีกลับไปยังบ้านของตน และกระโดดบ่อน้ำที่บ้านตนเองเสียชีวิต


>>> หน้าถัดไป กษัตริย์ราชวงศ์หมิง Ming dynasty 2


เนื่องจากจะยาวเกินเลยยกที่เหลือไว้ในหน้าถัดไปกดอ่านเรื่องราวของราชวงศ์หมิง

กันได้ต่อเลยครับ




เกรียนเพี้ยนๆ ในโลกโซเชียล




เกรียนเพี้ยนๆ ในโลกโซเชียล

     ในโลกซายเบ้อ ไซเบอร์เถอะมีเกรียนมากมายหลายแบบหลาสไตล์หลายรุ่น

ตัวท๊อปกับตัวธรรมดา(รถปะนั่น) พวกที่ยังเห่อมอยซ์ หรือเกรียนรุ่นใหญ่พวกใหญ่

ขี้พร้าเฒ่าน้ำเต้าไม่รู้จักโตซะทีทำตัวเกรียนแตกวันนี้บทความเราจะมาดูกันว่ามี

เกรียนประเภทไหนบ้างที่อยู่ในโลกโซเชียลที่คอยสร้างคงามรำคาญ เดือดร้อน

บางคนก็พาดราม่า สุดท้ายคือเอาไว้ดูฮาๆดูเกรียนดิ้นๆ


คำเตือน : บทความเกรียนเพี้ยนๆ จัดอยู่ในหมวด ความรู้รอบตัว สาระน่ารู้ ซึ่ง

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างมากว่าท่านผู้อ่านจะด้ไรับประโยชน์สุงสุดจากบทความ

สุดยอดนี้(หาาาาาา)



1.เล่นมุกกากในเรื่องที่ไม่ควร : เช่นเล่นมุกตลกเฮฮา กับเรื่องคนตายหรือโศกนาฏ

กรรม ที่มีความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นคือลองเกิดกับตัวมันบ้างญาติพี่

น้องมันบ้างเอ็งจะขำเล่นมุขออกมั้ย ไม่เจอกับตัวยไม่รู้หรอก ดีออก



2.ถูกผิดไม่รู้พวก Guไว้ก่อน : ขอให้เป็นพวกเดียวกันจะถูกจะผิดไม่รู้เข้าข้างพวก

เดียวกันแม้พวกตัวนั้นจะผิดก็ตามใครมาว่าข้าจะเกรียนให้ดูเลยเอ้าส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่

พวกก็เป็นกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า องครักษ์พิทักษ์hee ประมาณนั้นพิทักษ์ไปไม่รู้ซอก

ดากเขาเอ็งจะได้เห็นเปล่าไม่รู้



3.คิดต่างคือผิด : พวกที่ไม่เคารพความเห็นของผู้อื่นคิดไม่เหมือนตัวหรือสิ่งที่พิมพ์

ออกมาแล้วข้าไม่ชอบใจแปลว่าเอ็งผิด ทั้งๆที่เขาก็มีเหตุมีผลของเขา



4.เล่นพ่อเล่นแม่ : พ่องเตย แม่..เตย อะไรทำนองนี้คือเถียงไม่ได้ไงเกรียนพวกนี้เลย

แถซะหนังถลอกหมดแล้วถนนเป็นรอยพอแถจนแสบสีข้างยังไม่ช่วยอะไร ด่าพ่อแม่

บุพการีมันซะเลย เอาสะใจเว้ยเพลียแคมนะจ๊ะๆ



5.อคติบังตา : บางครั้งก็อคติกับคนอื่นเกินไปผู้หญิงสวยมีรถแพงๆขับเล่นซุปเปอร์คาร์

ก็หาว่าได้จากผัวหรอก บางคนบอกเด็กเสี่ยแหม่ไปรู้เรื่องชีวิตเขาดีจริงจริ๊งใครจะรู้พ่อเขา

อาจจะรวยหรือเขาอาจจะมีธุรกิจใหญ่โตมีฐานะทางการเงินที่ดีไอพวกที่นั่งอยู่หลังจอมือ

กดแป้นพิมพ์ (แหม่เรียกซะเชยเลย) เอ้าคีบอร์ด ที่ว่าๆเขาเนี้ยเคยคิดจะขยันๆเผื่อจะมี

อะไรดีๆแบบเขามั่งมั้ย (ว่าแล้วก็ขยันเลยดีกว่า) อย่างนี้ต้องมี คาถาปราบเกรียนคีบอร์ด



6.หัวข้อเท่านั้นเยอะไปไม่อ่าน : เพราะหัวข้อความชื่อบทความอาจจะตั้งเพื่อให้เป็น

ที่สนใจหรือเรียกง่ายๆว่า เรียกแขกนั้นเองไอคนที่เห็นหัวข้อข่าวแล้ววิจารณ์ยังกับ

ยู่ในเหตุการณ์จริงหรือออกตัวล้อฟรีด่าวิจารณ์ไปซะเยอะ พอเขาบอกเนื้อหาที่แท้จริง

เงิบดิๆ พอเงิบกแถ พอแถก็เดี๋ยวมีดราม่า พอมีดราม่า จ่าก็เอาไปเขียนอีก

(เกี่ยวไรกับจ่า ฮ่าๆ) กดลิ้งหรืออ่านเนื้อหาหน่อยเถอะครับจะได้ไม่เป็นภาระของดราม่า

เดี๋ยวเอ็งจิเงิบเอาเด้



7.บิดเบือนข้อมูล : ตัดต่อภาพสร้างประโยคเท็จบิดเบือนความเป็นจริงหาเหตุผลให้

ความจริงนั้นถูกบิดไปอีกทางนึงให้ตัวเองได้ประโยชน์ (มักเห็นได้ในเรื่องการเมือง)



8.ปลุกปั่น สร้างความเกลียดชัง : วาทะสร้างความแตกแยก สร้างศัตรูทำให้คนอื่น

นั้นด้อยกว่าไม่ใช่พวกตัวเองทำให้ผู้คน 2 ฝั่งเกลียดชังกันอันตรายมากอะครับ แบบว่า

จะยังไงก็คนชาติเดียวกันมาแบ่งกันทำซากอะไรก็มิทราบได้แค่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน

ก็เถียงกันไม่จำเป็นต้องมาสร้างวาทะปลุกกระแสความเกลียดชังใส่กันจนเพื่อนบ้าน

เอาพวกเราไปล้อว่า เมืองไทยข้ากันตายทุกมื้อ (เมืองไทยฆ่ากันตายทุกวัน)



9.โง่แล้วอวดฉลาด : คือโง่ไม่รู้จริง ประมาณว่ากบในกะลาแต่อวดตัวว่ารู้ดีอย่างนั้น

อย่างนี้โชว์ภูมิอะ ทำนองนั้นแหละแต่พอโดนจับไต๋ได้เท่านั้นแหละเอ้ยแถไปเรื่อย

เลยทีเดียวชักแม่น้ำทั้งห้าทั้งแปดมาเลยทีเดียว สุดท้ายเจอคนจริงเดี๋ยวเอ็งก็เงิบ

อยู่ดีละว้า เพราะงั้นถ้าไม่รู้ก็อย่าอวดครับเปลี่ยนเป็นตั้งคำถามหาความรู้แทนจะดีกว่า



10.หยามผู้อื่น : พวกเกรียนคีบอร์ดชอบดูถูกคนอื่นพวกที่ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา

แบบประมาณ ดูถูกคนผิวสีว่านิโกร ดูถูกแรงงานต่างด้าวบ้างไรบ้างพวกนี้ดูถูกแม่ค้า

คนจน อคติกับคนบ้านนอกว่าโง่ไม่มีความรู้ เหยียดหยามซ้ำเติมคนที่ล้ม



11.รอซ้ำ : พวกที่เห็นคนอื่นพลาดคนอื่นล้มแล้วซ้ำเติมเขาเหยียบเขาให้จมดิน

สุภาษิตว่าไว้( คนล้มอย่าข้าม ) เขาลุกเมื่อไหร่จะเจ็บตัวเอาได้นะเกรียนทั้งหลาย



นึกออกเท่านี้ครับ ถ้าใครนึกอะไรออกอีกคอมเม้นไว้เลยครับฮ่าๆ





ทำไมปืนใหญ่ถึงเป็น " ราชาแห่งสนามรบ "




ปืนใหญ่" ราชาแห่งสนามรบ "


      ทำไมปืนใหญ่ ถึงได้ถูกเรียกว่าเป็นราชาแห่งสนามรบ ในอดีตนั้นปืนใหญ่ อาเซน่อล

เอ้ยไม่ใช่ละ ปืนใหญ่นับว่าเป็นอาวุธหนัก อำนาจการทำลายล้างสูงส่งผลต่อการรบเป็น

อย่างมากเอาใกล้ๆตัวเลยก็ไทยรบกับพม่าจะเห็นได้ว่าปืนใหญ่มีส่วนสำคัญมาก ขนาด

ชาวบ้านบางระจันผู้ห้าวหาญยังต้องขยับตัวเองเพื่อมีปืนใหญ่ เพราะอะไรเพราะมัน

หมายถึงความได้เปรียบเป็นอย่างมากในสมรภูมิ ทั้งอำนาจการทำลายล้าง การข่มขวัญ

หนำซ้ำยังยิงไกลสามารถ ทำลายป้อมค่าย ถล่มกองทัพศัตรู ทหารม้า ช้างศึก เหมือน

ตอนที่เสียกรุงศรี ก็ไม่สามารถต้านทานปืนใหญ่ได้เมื่ออยู่ในระยะยิงของมันนี่แหละครับ

ความสุดยอดในการรบเวลามีปืนใหญ่ ของสมัยก่อน  แล้วปัจจุบันหละ ที่โลกเราพัฒนา

ไปมากมายมีขีปนาวุธพิสัย ใก้ล กลางไกล ยิงได้เป็น 20 -100 กิโล หรือพวกหมาอำนาจ

เอ้ย มหาอำนาจที่ยิงกันข้ามทวีป ข้ามหัวคนนับร้อยล้านพันล้านคนได้ (จรวดแบบนั้น

เรียกศัพท์ไม่ถูกแฮะ) หรือจะมี เครื่องบินรบ สมรรถนะ สูงๆ ถล่มกันตูมตาม บินด้วย

ความเร็วเสียง หรือเครื่องบินทิ้งระเบิด อาจจะมีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ขีปนาวุธ

จากพื้นสู้พื้น จากเรือสู้พื้นอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ แต่ทำไม


ปืนใหญ่ก็ยังได้รับฉายาว่า ราชาแห่งสนามรบ อยู่อีกละ เรามาดูเหตุผลกันว่าทำไม

 ราชาแห่งสนามรบ ยังเป็นปืนใหญ่กันครับ

ทำไมปืนใหญ่ถึงเป็น " ราชาแห่งสนามรบ "


ปืนใหญ่" ราชาแห่งสนามรบ "


1. ข้อจำกัดที่น้อย : คือสามารถตั้งแล้วยิงได้เลยทั้งการบรรจุกระสุน ทั้งการย้าย ยิ่งเป็น

ปืนใหญ่อัตตาจร (ปืนใหญ่อัตตาจร คือ ปืนใหญ่ที่สามารถเคลื่อนที่ได้เอง) ยิ่งสบายย้าย

ง่าย ยิงเสร็จ เปลี่ยนตำแหน่งซึ่ง ถ้าใช้เครื่องบินไปบอมบ์ ไปทิ้งระเบิดจากจุดสู้รบนั้นยิง

ได้น้อยความเสี่ยงสูงว่าจะโดนต่อต้านยิงตก พกอาวุธไปได้จำกัดต้องกลับฐานมาเติม

น้ำมันแล้วแบกอาวุธลูกจรวดไปใหม่ซึ่งเสียเวลาพอสมควรกว่าจะไปถึง กว่าจะปฏิบัติการ

แถมไปเจอ SAM (SAM คือ Surface-to-Air Missile อาวุธปล่อยจากพื้นสู่อากาศ )

ซึ่งมีหน้าที่สอยเครื่องบินรบราคาแพงหลักพันล้านของข้าศึก ได้อย่างไม่ยากเพราะ

เทคโนโลยี การตรวจจับการติดตามก้าวทันการโจมตีของเครื่องบินมานานแล้วถ้าอยู่ใน

พิสัยการยิงมาน้อย เจอดง SAM เข้าไปโดนล็อคเป้าก็ไม่รอดจ้า เพราะเหตุนี้ปืนใหญ่

ยิงสนับสนุนก็ยังมีข้อจำกัดที่น้อยกว่าใช้เครื่องบินเขาไปบอมบ์มากกว่าเสี่ยงน้อยกว่า

ทำเวลาได้ดีกว่า ปลอดภัยกว่าทางด้านการเปลี่ยนตำแหน่ง


2. ความรวดเร็ว : การใช้ปืนใหญ่ยิงสนับสนุนการเข้าแย่งชิงพื้นที่นั้นระบบ หนึ่ง ใช้เวลา

ไม่มากหน่วยเป้นนาทีซึ่งสามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างดีเป็นการ

ช่วยทหารราบรบได้ดีมากเพราะรวดเร็วและแม่นยำ การสื่อสารถ้าไม่โโนสอยไปเสียก่อน

ค่อนข้างอุ่นใจเวลาได้รับการสนับสนุน


3. ความคุ้มค่าและสูญเสีย : เครื่องบินลำละเท่าไหร่ กับจรวดลูกล่ะหลายล้าน กับปืนใหญ่

ที่อยู่แนวหลังคอยยิง กับลูกปืนใหญ่ราคาไม่แพงมากนักทำให้มีความคุ้มค่ากว่าไม่เปลือง

และความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียน้อยกว่าเครื่องบินหรือการเอารถถังเข้าไปฉะ


4. ความพร้อม : ฐานปืนใหญ่เมื่อตั้งแล้วสามารถพร้อมยิงได้ภายในเวลาไม่กี่นาที อาจจะ

แค่ 5 นาทีด้วยซ้ำสามารถยิงคุ้มกันจากแนวหลัง ไปไกลได้กว่า30 กิโลเมตร ถ้ามีกระสุน

ต่อระยะอาจได้ไกลกว่านั้น และสามารถตอบโต้ป้องกันฐานรวมถึงทหารราบได้อย่างดี

ถ้าให้เครื่องบิน หรือรถถังอาจจะยานเกราะต่างๆประจำการ จะไม่สามารถพร้อมรบได้

อย่างมีประสิทธิภาพได้ในเวลาอันสั้นแบบ ปืนใหญ่


5. ภูมิประเทศ : เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ จะอยู่ตามแนวเขา ทะเลทรายที่ราบ ปืนใหญ่จะทำ

ได้ดีกว่าและเลือกที่ตั้งโจมตีได้ถนัดกว่ารถถังเพื่อสนับสนุนทหารราบ จะแพ้ก็ตรง

เครื่องบินรบที่สามารถบินเข้าไปทำภาระกิจในเขตข้าศึกได้เท่านั้นแต่ถือว่าปืนใหญ่นั้น

หลากหลายในเรื่องภูมิประเทศเป็นอย่างมาก


6. ตัวเปิด : ตามหลักแล้วการเปิดพื้นที่สู้รบหรือการแย่งชิงความได้เปรียบเพื่อแย่งชิง

พื้นที่กันจะต้องสาดกระสุนปืนใหญ่ทำลายแนวรบฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนวิธีการรบ เบี่ยงเบน

วิถีการรบได้ด้วยอำนาจการยิงเพื่อครองความได้เปรียบ หลังจากนั้นก็ส่งทหารราบเข้า

ไปยึดครองชิงพื้นที่มาแล้วคอยซับพอร์ตอยู่เบื้องหลังใช้ปืนใหญ่ในการสร้างความได้

เปรียบ เปิดฉากวางอาณาเขตการรบแล้วใช้ทหารราบในการสถาปนาเขตหน้าพื้นที่

การรบยึดพื้นที่เอาไว้


7. ยังไงก้ต้องโดน : เป็นหลักคิดแบบไม่เอาอะไรมากเหมือนที่โซเวียตใช้กับเยอรมัน

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จัดหนักปืนใหญ่สาดใส่เยอรมันจนเป็นผลสำเร็จ สาดเข้าไป

อย่างเดียวจนเปิดทางให้รัสเซียสามารถนำทหารราบเข้าไปเคลียเข้าไปคุมพื้นที่ได้

หรือที่จีนยิงใส่เวียดนามเป็นพันๆลูก ในสงครามสั่งสอน ใส่แบบไม่ยั้งเอาให้โงหัวไม่ขึ้น

ปลอกกระสุนปืนใหญ่ เกลื่อนพื้นที่ คือถ้าใช้รถถังก็เสี่ยงต่อการโดยโจมตี เครื่องบินก็

ไม่คุ้ม ไม่ครอบคลุมพื้นที่พอสาดปืนใหญ่แบบไม่ยั้งหวังผลเอาความเสียหายเพียง

อย่างเดียวแบบที่ กัมพูชาสาดปืนใหญ่ใส่ไทย แบบไม่คิดมากจนไปโดนอาคารบ้าน

เรือนของฝ่ายพลเรือนซะมากส่วนของไทยส่วนใหญ่จะไปตกตรง ฐานปืนใหญ่ของเขา

หรือ ที่ตั้งทางทหารซะมากกว่า


8. กุนซือตัวสั่งการ : ปืนใหญ่มนการรบภาคพื้นเป็นเหมือนฐานสำคัญที่มีอำนาจเป็น

เหมือนฐานสั่งการรบ กำหนดวิถีการรบได้ด้วยอำนาจการยิง เพื่อให้ความสะดวกแก่

แนวหน้าและบีบข้าศึกไปตามที่ตนเองต้องการ หรือจะแก้ไขสถาการณ์เมื่อโดนรุกหนัก

มาจากทางใดทางนึงก้ใช้อำนาจของปืนใหญ่ที่ปัจจุบันอย่างที่ทราบว่ายิ่งได้ไกลหลาย

สิบกิโลเมตรขู่ข้าศึกไม่ให้เข้ามาในแนวที่เราไม่ต้องการได้ ยันกำลังข้าศึกที่รุกหนักๆได้

 เป็นเหมือนหัวใจในการรบภาคพื้นที่สำคัญเป็นตัวบ่งชี้แนวทางของสงครามในแต่ละ

ตำแหน่งได้เลยทีเดียว


เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้รอบตัว ที่น่าสนใจเอามาแนะนำเกี่ยวกับ ปืนใหญ่ อา่จจะไม่ครอบ

คลุมมากเท่าไหร่ แต่เพื่อให้พอเข้าใจที่ว่ามาทั้งหมดทั้งมวลทำให้ปืนใหญ่ในปัจจุบันก็

ยังเป็น ราชาแห่งสนามรบ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใช้ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย ปืนใหญ่นั้นไม่

สามารถเข้าไปในแนวลึกข้าศึกได้มากเท่าเครื่องบิน (การครองน่านฟ้า ครองกำลังทาง

อากาศได้) ย่อมส่งผลดีต่อทหารราบไม่น้อย และปืนใหญ่ถึงจะสามารถยิงทำลายเป้า

หมายได้แต่ก็ไม่สามารถครองพื้นที่ได้ยังต้องอาศัยทหารราบเพื่อเข้าไปยึดพื้นที่เพื่อทำ

การรบอยู่ดี แล้วถ้าเป็นปืนใหญ่ระบบเก่าการโดนตรวจจับถือว่าอันตรายมากว่าจะโดน

ละลายทั้งฐานโดยข้าศึก แต่ยังดีที่ ปืนใหญ่อัตาจร ที่เคลื่อนที่ได้มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ

และ อีกอย่างนึงคือเมื่อ ขาดการป้องกันจากทหารราบหรือโดนโจมตีปืนใหญ่เองไม่

สามารถป้องกันการโจมตีของทหารราบหรือ เครื่องบิน และยานเกราะ รถถังต่างๆของ

ข้าศึกได้เท่ากับไม่สามารถปกป้องตนเองได้ จะเห็นได้ว่าปืนใหญ่ถึงมีการโจมตีที่ดี

ประสิทธิภาพสูงแต่การป้องกันตัวเองถือว่าต่ำมาก การรบ ต้องมีทั้งอาวุธและการวาง

แผนรวมถึงใช้ความสามารถของอาวุธที่มีอย่างสมดุล ทั้ง อากาศ ราบ ระยะใกล้ไกล

จึงจะเกิดผล แต่ในสำหรับสนามรบ การมีปืนใหญ่ซึ่งถือว่าเป็นราชาแห่งสนามรบก็

สามารถควบคุมทิศทางของสงครามได้เป็นอย่างมาก