แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Blog แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Blog แสดงบทความทั้งหมด

รูปแบบบล็อก ตามนิสัยบล็อกเกอร์





รูปแบบบล็อก ตามนิสัยบล็อกเกอร์

1. ร่างผลงานลงสมุดก่อนค่อยเขียนบทความลงไป


2. พยายามเขียนรูปแบบของตัวเองเพื่อให้คนจดจำหรือเอาลักษณะเด่นของไอดอล

 มาปรับใช้ของตัวเอง


3. แคร์ผลตอบรับ การพูดถึง คอมเม้นท์ จากผู้อ่าน มากๆ บางครั้งมากเกินไป


4. ต้องการเป็นผู้ให้ความรู้ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆให้แก่คนอื่น

พวกความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป


5. เขียนสิ่งที่อยากเขียน (ไม่สนใจว่าจะมีคนอ่านหรือไม่ ชอบรึเปล่า

 แค่ตัวเองชอบคือจบ)  *ชัดเจนดี


6. ใช้บล็อกเอาไว้โชว์และแสดงผลงานของตัวเอง


7. ใช้ในการโปรโมทสินค้า โฆษณา ธุรกิจของตัวเองเขียนโปรโมทงานต่างๆ


8. เขียนบทความเล่นกับกระแส



เขียนบทความ สั้น-ยาว (ไม่ต่างกัน)




เขียนบทความ สั้น-ยาว (ไม่ต่างกัน)

การเขียนบทความ เคยมีคนที่ทำบล็อกชอบวิตกกงวลว่า บทความในบล็อกของ

เรานั้นต้องมีมากกว่า 300 คำ หรือ 500 คำกำลังดี การเขียนบทความที่ดีต้องมีคำประมาณ 

300 - 500 คำเพื่อให้ถูกหลัก SEO (เขาว่ามางั้น) ถ้าสั้นเกินไปจะดูไม่ดีจะทำให้เว้บบล็อก

หรือบทความเราด้อยลงไปผมเคยได้ยินเขาพูดกันมาแบบนั้นหลายคนเลยแหละที่พาดหัว

ไปว่าไม่ต่างกันคือมันต่างกันครับ ต่างกันตรงที่ว่า คุณทำบทความให้ใครอ่านกันหละ 

คุณทำให้ search engine อ่าน หรือทำให้คนอ่านกันแน่ครับ แน่นอนครับทำให้โดนใจถูกใจ

search engine นั้นย่อมดีตรงที่คุณจะได้รับการจัดอันดับในหน้าค้นหาต้นๆทำให้คนเข้าเว็บ

คุณเยอะ



  แต่ถ้าบทความคุณไม่ตอบโจทย์ของผู้อ่านหละครับ อย่าลืมนะครับสุดท้ายแล้วความ

สำคัญของเนื้อหาในบทความ หรือ Content นั้นมีผลมากกว่าสิ่งอื่นใดถ้าคุณทำแค่ล่อให้

ได้ประโยชน์ในการจัดอันดับแต่เนื้อหาไม่ตอบโจทย์ผู้อ่านเขาก็แค่เปิดมาแล้วปิดกลับไป

ยิ่งเว็บไหนหลอกดักควาย ชื่อเว็บนั้นจะถูกจดจำไปในทางที่ไม่ดีอีกด้วย บทความยาวๆ

นั้นบางครั้งก็ยาวจนน่ารำคาญ หาสาระสำคัญไม่ได้เลยทำให้หาข้อมูลที่ต้องการได้ยาก

เย็นมากขึ้นในกรณีที่ผู้อ่านต้องการจะหาคำสำคัญแค่ไม่กี่อย่างแค่ต้องการคำตอบของ

เรื่อง เช่น เขาต้องการแค่ว่า แรร์ไอเทม คืออะไร

           คุณอาจจะใช้คำตอบเพื่อขยายความไปประมาณ 150 คำก็พอ เอาให้รู้ว่ามันคือ

อะไร แต่ในเมื่อ 150 คำมันดูไม่ดี (ในความคิดคุณ) คุณเลยลากยาวบทความที่ต้องการ

คำตอบไม่เกิน 3 บรรทัดไปเป็น 300-500 คำซึ่งมันค่อนข้างเกินความจำเป็นผู้อ่านต้อง

มานั่งอ่านสิ่งที่พรรณาลงไปเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่ต้องการแค่ 2 บรรทัดเท่านั้น คิดดู

ครับว่าจะเซ็งแค่ไหนบทความสั้นละ แล้วถ้าเรื่องๆนั้นต้องการความเข้าใจในระดับสูงแต่

คุณใช้คำตอบในบทความนั้นแบบสั้นๆ ไม่ได้ช่วยอธิบายสิ่งที่เขาอยากรู้ได้เลยไม่ไขข้อ

สงสัยได้เลยก็ไม่ต่างอะไรกับข้อมุลที่ไร้ประโยชน์เหมือนกัน ประเด็นสำคัญที่ผมจะสื่อ

คือ บทความจะสั้นจะยาวนั้นไม่ได้อยู่ที่ความเชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อยู่ที่ประเด็นของ

มันว่าตรงจุด ตอบคำถามคนที่ถามได้มั้ย ตรงประเด็นที่ผู้อ่านต้องการหรือเปล่า นั่นคือ

การจับประเด็นครับ เช่น เมียน้อยของต้วนเจิ้นฉุน มีใครบ้าง -- คุณสามารถตอบได้

หรือไม่


 อย่างน้อยบทความที่เกี่ยวข้องก็ต้องเป็นเกี่ยวกับตัวละครเรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า

แต่คุณมีประเด็น เมียทั้งหมดของพี่ต้วนไหม อันนี้อีกเรื่องคำค้นหามีมามายอยู่ที่ว่า

คำตอบของคุณจะครอบคลุมคำค้นหาเหล่านั้นไหม จะตรงประเด้นที่เขาต้องการจะ

ถามหรือเปล่าง่ายๆคือบทความของคุณตอบตรงคำถามของผู้อ่านหรือไม่ ต่อให้คุณ

มี SEO ที่ดี คนเจอหน้าแรกๆแต่คำตอบที่คุณมีในบทความไม่ตอบโจทย์ของผู้อ่าน

เขาก็ปิดทิ้งไปหาอันใหม่อยู่ดี ส่วนบทความไหนตอบโจทย์ของผู้อ่าน นอกจากได้

ความเชื่อมั่นแล้วว่าเขาจะอ่านบทความของเราอย่างจริงจังเพราะต้องการคำตอบ

ผลพลอยได้อาจจะได้แชร์ไปในโซเชี่ยล ได้เอาไปอ้างอิงส่งลิ้งกลับมาจากเว็บบอร์ด

ต่างๆเว้บต่างๆอีกด้วย (ถือเป็นการทำSEO แบบที่เราไม่ต้องออกแรง) หรืออาจจะมี

การบุ๊คมาร์คเว็บคุณไว้เพื่อไว้อ่านข้อมูลเรื่องอื่นทีหลังกลายเป็นลูกค้าประจำของ

บล็อกของเว็บคุณก็ได้ใครจะรู้ เพราะอย่างนี้บทความจะยาวจะสั้นก็อย่าไปใส่ใจมาก

ครับ ใส่ใจแค่ว่าบทความเราตอบตรงคำถามหรือไม่เท่านั้นพอ คำถามมีมากมายแสน

ล้านคำถาม เราเลือกจะตอบคำถามที่มีคนถามเยอะหรือน้อยก็อยู่ที่เราแล้วครับ สำคัญ

คือตอบให้ตรงคำถามเท่านั้นพอและมีวิธีหาไอเดียในการเขียนบทความ มากน้อย

เพียงใด


 ปล. สำหรับผู้ที่ติดโฆษณา บทความที่สั้นมากๆเกินไปก็ไม่เหมาะครับจะโดนข้อหา

เนื้อหาน้อยเกินไป อย่างที่บอกแหละครับถ้าตอบตรงคำถามมันจะต้องมีบทความที่

เนื้อหาทั้งสั้น กลาง และยาวๆคละกันไปแน่นอน จะสั้นหมดคงไม่มี


*คำถามก็คือคำค้นหานั่นแหละครับ เลือกเอาครับว่าคนใช้อินเตอร์เน็ตชอบถามคำถาม

ไหนมากกว่ากัน เราก็แค่ตอบเขาไปให้ตรง และก็เลือกคำถามที่จะตอบได้ตามสบาย

ไม่ว่าคำถามนั้นจะมีคนถามมากหรือคนถามน้อย(คำค้นหามากหรือน้อย) ยังไงก็เป็น

คำถามที่ต้องการให้มีคนตอบอยู่ดี




บทความที่ดีควรเป็นอย่างไร




บทความที่ดีควรเป็นอย่างไร


   บทความที่ดี มีประโยชน์ให้ความรู้น่าสนใจ ในความหมายของผู้อ่านเป็นอย่างไร

กันครับจะเป็นเหมือนบทความนี้รึเปล่ามาดูกัน

บทความที่ดีควรเป็นอย่างไร


1. ไม่ดักควาย : เช่นตั้งหัวข้อชื่อเรื่อง แบบดักให้คนเข้ามาอ่านแต่เนื้อหาที่แท้จริงกลับ

ไม่ใช่เลยเหมือนการหลอกลวงเขาให้มาอ่านเท่านั้นไม่ได้ใส่ใจถึงว่า  เขาต้องการอ่าน

อะไรแบบนี้เขาเรียกตบหน้ากันและดูถูกผู้อ่านมากๆ (มันแตกต่างกับเทคนิคการตั้งชื่อ

เรื่องโดยสิ้นเชิง)


2. ไม่เอียง : ถ้ารักจะเขียนบทความคุณภาพบทความดีๆก็อย่าใส่ความเอนเอียงลง

ในฝั่งใดฝั่งนึงใส่ข้อมูล ข้อดีข้อเสียให้ครบถ้วนให้ผู้อ่านตัดสินใจเอาเอง

(แบบนี้ใช้กับการโปรโมทสินค้าไม่ได้แน่ๆ ฮ่าๆ)


3. ไม่อคติ : การเขียนบทความที่ดีได้นั้นผู้เขียนจะต้องไม่มีอคติกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่าง

เช่นจะเขียนบทความเกี่ยวกับ กลุ่ม ฮามาส ประทะเดือด กับอิสราเอล แต่ผู้เขียนอคติ

ต่ออิสราเอลหรือ ฮามาส ส่งผมมายังบทความที่ออกมาในแนวอคติ แนะนำว่าส่วนตัว

ผู้เขียนอาจจะอคติก็ได้แต่บทความออกมาต้องเสนอความจริงและถูกต้องไม่มีอคติใดๆ

ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


4. ข้อมูลถูกต้อง : อันนี้สำคัญมากนะ ข้อมูลต้องน่าเชื่อถืออ้างอิงได้และถูกต้อง หรือ

คิดว่าถูกแต่ถ้าไม่แน่ใจว่าถูกก็ควรตั้งข้อสังเกตุเอาข้อมูลมารวมๆกันให้ผู้อ่านตัดสินใจ

เอาเองว่าควรเชื่อแบบไหนเพราะในโลกนี้มีสิ่งที่คนอื่นมาว่าถูกแต่อีกคนบอกผิดแม้จะ

มาจากแหล่งเดียวกันก็ตาม เราควรนำมาเสนอทั้ง 2 ด้านเลยยิ่งดี  ถ้าไม่แน่ใจว่ามัน

ถูกต้องหรือมีข้อสงสัยประการใดก็ควร วงเล็บหรือทำคอมเม้นท์เอาไว้ให้ชัดเจน


5. ไม่ทำให้คนดีเสียหาย : อย่าพาดพิงถึงคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องหรือลากเขามาพูด

โดยมิใช่มีความจริงนอกจากจะทำให้เขาเสียหายแล้วยังจะโดนเขาฟ้องตูดบานอีกด้วย

นะจ๊ะ


6. หยาบคายไม่ให้เกียรติ : อันนี้ก็ไม่ควรนะครับ จะหยาบคายในบทความหรือหยาบ

คายต่อคนที่พูดถึงยังไงก็ไม่สมควรเพราะบทความเราใช่ว่าจะมีแต่คนที่บรรลุนิติภาวะ

ที่อ่านได้ เด็กๆเล็กๆก็อ่านได้อย่าเอาแค่สะใจของอิฉันส่วนตัว ความมันส์ในอารมณ์

ที่ได้หยาบมาทำให้อนาคตของชาติหรือคนที่ถูกกล่าวถึงต้องรู้สึกแย่ เคยได้ยินมั้ย

ว่าถ่อยแล้วเท่ ?? เท่ด้วยความคิดก็ได้ไม่ต้องถ่อยหรอก


7. ให้ความรู้ เกร็ดความรู้ : ขยายความในหัวข้อหรือเรื่องที่ผู้อ่านน่าจะไม่เข้าใจเช่น

ชื่อเรียกเฉพาะทางหรือความหมายอย่างอื่น ความรู้รอบตัวเสริมเข้าไปในบทความด้วย

จะดีมากแต่อย่าเยอะเกินไปจนหลงประเด็น การให้ความรู้แก่คน ทำให้บทความเรามี

คุณค่า นับว่าเป็น บทความที่ดี มากๆครับ


8. ไม่ชี้นำ : ถ้าจะแสดงความเห็นส่วนตัวก็ขอให้แยกชัดเจนรวมถึง แสดงให้ชัดว่านี่คือ

ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนมิใช่ข้อมูลที่ได้มาแต่เป็นความเห็นส่วนตัว


9. อยู่ในประเด็น : ไม่พูดเพ้อพร่ำเพ้อจนออกจากประเด็กของบทความ ไม่แวะออก

จากประเด็นบ่อยหรือหลงประเด็นทำให้บทความนั้นเสียไปเลยเพราะไม่ได้อยู่ในตัว

เนื้อหาซักเท่าไหร่


10. นำเสนออย่างสร้างสรรค์ : เช่นวลี สำนวนของผู้เขียนที่แปลกแตกต่างและ

ดีงาม (ดีงามคือสร้างสรรค์ไม่ใช่หยาบคาย) จะทำให้บทความนั้นน่าอ่านมากยิ่งขึ้น




บล็อกดีกว่าเฟสบุ๊คอย่างไร (BLOG)




บล็อกดีกว่าเฟสบุ๊คอย่างไร

1. จัดข้อมูลง่าย : ข้อมูลที่ได้มานำมาเขียนบทความเราสามารถนำมาลงได้สะดวก

กว่า(ไม่ใช่ความเร็วนะ) คือจัดหน้า เว้รวรรค ย่อหน้า คาดสีเน้นคำได้ดูดีกว่าเฟสบุ๊ค

เพราะในเฟสบุ๊ค ต้องใช้ # เน้นเอา แต่ของบล็อกเน้นครับที่คิดว่ามีความสำคัญทั้ง

ตัวเอียง คาดกลาง ตัวหนา เน้นสี ซึ่งจะทำให้บทความมีประโยชน์ในการสื่อสารมาก

ขึ้นในการให้ความรู้ เรื่องต่างๆ ทั้งความรู้รอบตัว  ความรู้เฉพาะทาง หรือเรื่องราวที่

จะสื่อออกไปและเน้นให้ชัด


2. เป็นหมวดหมู่กว่า : อันนี้จริงๆเลย ครับจัดหมวดหมู่หาง่ายกว่า ตามอ่านได้ง่ายกว่า

เฟสบุ๊คเยอะเลย


3. สวยงามกว่า : รูปที่เอามาแต่งบล็อก ทำนู่นทำนี่ มันอิสระกว่าเฟสที่แต่งได้ไม่กี่

อย่าง


4. อ่านง่ายกว่า : สำหรับผมนะ มันดูเป็นระเบียบและการจัดวางมันดูอ่านง่ายกว่า

รวมถึงการวางโฆษณาเพื่อหาเงินจากบล็อก ก็จัดรูปแบบได้ง่ายกว่า


5. หาข้อมูลง่าย : ก็เพราะว่ามันเป็นหมวดหมู่เลยหาข้อมูลง่ายแถมยังสามารถติด

โค้ดของ google search ไว้ในบล็อกเพื่อช่วยค้นหาได้อีกด้วย


6. วางรูปได้ง่าย : ในเฟสบุ๊คมันมีแค่มิติเดียวอะครับคืออัพรูปแล้วใส่บทความข้อความ

ลงไป แต่ในบล็อกสามารถจัดได้หลายรอบใน 1 บทความแบบที่ว่าเอาให้ตรงกับข้อความ

ได้เลย เช่น ในบทึวามมี 10หัวข้อก็จัดรูปอธิบายเสริมไปได้ทั้ง 10 ถ้าจะทำในเฟสต้อง

อัพ 10 รูปแล้วอธิบายทีละรูปๆ มันดูไม่ต่อเนื่องและเวลาจะอ้างอิงไปยังหัวข้อก่อนหน้า

ก็ต้องกดย้อนกลับเพื่อไปดูอีกไม่เหมือนในบบล็อก ที่อยู่ในหน้าเดียวกันเลยแค่เลื่อน

ดูเอง


7. ลิ้งข้อมูลหากันง่าย : เฟสบุ๊คลิ้งไม่ได้นะครับนอกจากเป็นลิ้งของเพจหรือชื่อคน

ไม่สามารถทำลิ้ง ตัวหนังสือ Anchor Text ได้นะครับบล็อกจะได้เปรียบตรงนี้มาก

เพราะสามารถทำไปยังหน้าที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกันได้สามารถดึงผู้อ่านไว้ในบล็อก

ได้นานกว่าเฟสบุ๊ค เป็นอีกเทคนิคการเขียนบล็อก ให้ผู้อ่านอยู่กับบล็อกนานที่สุดครับ


8. ปลั๊กอินอำนวยความสะดวก : plugins ต่างๆที่เฟสบุ๊คไม่มีอะครับอย่างจัดการวาง

ตำแหน่งโฆษณาเพื่อหาเงินจากบล็อก การแต่งรูปการจัดรูป หรือช่วยในการ SEO

ก็มีนะ


9. ค้นหาลิ้งที่เกี่ยวข้อง : เพื่อใช้ในการเขียนบทความอื่นๆต่อไป สามารถจัดเป็น

ระบบได้ง่ายโดยแบบหมวดหมู่และการลิ้งหากันแบบข้อที่ 7


10. ของแต่งเยอะ : พวกอย่างเช่นนาฬิกาติดเว็บ ราคาน้ำมัน ราคาหุ้น พยากรณ์

อากาศ อะไรทำนองเนี้ยะ หรือจะเป็น Chat box ตัววิ่งบอกข่าวสื่อสาร คือมันดิ้นได้

เยอะกว่าเฟสบุ๊คหนะครับ




บล็อกเด่นโดนใจ (ในสิ่งที่ผมคิด)





บล็อกเด่นโดนใจ 

          มาๆ บล็อกโดนใจในแบบของผม บทความที่แล้วเสนอเรื่องบล็อกน่าอ่านไป

มาบทความนี้ผมจะมาบอกเล่าว่าบล็อกที่ผมชอบและโดนใจมีลักษณะเป็นยังไงบ้าง

บทความ บล็อกน่าอ่านในบทความก่อนนั้นพูดแนวรวมๆว่าทำบล็อกให้น่าอ่านจะทำ

ยังไง ไม่ให้คนเบื่อ แต่บทความนี้ใช้ตัวเองเป็นหลักเลยครับว่าผมชอบบล็อกแนวนี้

ทำแบบนั้นแบบนี้นะ อะไรประมาณนี้ครับ ลองดูกันครับว่าท่านจะชอบแบบเดียวกัน

กับผมรู้เปล่า


1. สำนวนโดนใจ : สำนวนการเขียนดีๆมีวาทะศิลป์ มันพูดยากแหะ แต่ถ้าลองอ่าน

แล้วชอบในแนวทางการเขียนก็คือชอบเลยครับ


2. ไม่กั๊ก : ใส่ข้อมูลให้อย่างไม่กั๊ก เคล็ดลับแบบจัดเต็มใครๆก็ชอบใช่ป่ะครับ บล็อก

ไหนชอบกั๊กปล่อยไม่สุดบางทีผมก็ไม่อ่านอะประมาณว่าเห้ยยยมันไม่สุด มันคาใจ

บางทีก็ไม่อยากรู้ไอที่เขากั๊กไว้หรอกแค่มันรู้สึกว่ามันไม่สุด มันคาใจแค่นั้น


3. เข้าใจง่าย : บางครั้งเรื่องราววิชาการ ความรู้รอบตัวมันอาจจะเข้าใจยากในบาง

เรื่อง ถ้าบล็อกไหนที่อธิบายเรื่องที่เราคิดว่าเข้าใจยากให้มันเป็นเรื่องง่ายคงจะดี

ไม่น้อยมีบางเว็บบางล็อกข้อมูลแน่นมากแต่ผมอ่านจับต้นชนปลายเนื้อหาไม่ถูก

กับอีกบล็อกที่เนื้อหาไม่ได้เยอะจนเฟื่อ แต่เรียงลำดับเหตุการณ์และความเป็นมา

ของเรื่องจนเข้าใจผมเลือกแบบที่ 2 นะถ้าข้อมูลไม่ได้ผิดต่างจากกันมาก

(มันอยู่ที่วิธีการนำเสนอแหละผมว่านะ)


4. ชี้แนะแนวทาง : ประโยชน์ของการเขียนบล็อก ก็แบบนี้แลครับที่ผู้อ่านต้องการ

คือ หาข้อมูลและชี้แนะแนวทางให้แก่เราไงละ


5. ข้อมูลแน่นปั๊ก : แบบว่าข้อมูลแน่นมากอ่านทีเดียวไม่ต้องไปหาอ่านที่อื่นเลย

เช่นเป็นชุดข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ต่างๆที่เป็นเรื่องราวต่อๆกันมาแบบประมาณ

ว่าอยู่ในบล็อกนั้นบล็อกเดียวสามารถตอบในสิ่งที่เราต้องการอ่านได้ (แต่บางทีก็

ต้องหาข้อมูลจากที่อื่นมาเปรียบเทียบด้วยนะครับ)


6. มีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี : มีข้อมูลหรือความรู้ในสิ่งที่บล็อกอื่นๆไม่มี แล้วเราไปเจอ

มีเพียงเว็บเดียวบล็อกเดียวที่มีข้อมูลเรื่องนี้ ความรู้สึกจะประมาณว่า เอื้อ ฟินกับ

บล็อกนี้มากมีได้ไง บางเรื่องไม่คิดว่าจะมีแต่มีที่นี่ที่เดียว (เกิดการมองในแง่ดีกับ

บล็อกนี้ขึ้นมาในตอนแรกเลย)


7. มีรูปประกอบสวยๆ : รูปมักเป็นสื่อที่ทำให้เราเข้าใจในตัวบทความได้ง่ายขึ้น

นะครับการมีรูปสวยๆน่าดูเป็นอะไรที่ส่งเสริมกันมากกับบทความดีๆ


8. เปิดโลก : เช่นเว็บบล็อกเกี่ยวกับเรื่องต่างประเทศ (เปิดโลกไหมละ) ไม่ใช่

แบบนั้นฮ่าๆ แบบช่วยสอนและแนะนำ เคล็ดลับ วิธีการเช่น วิธีเอาตัวรอดจาก

รถจมน้ำวิธีทำสเลอปี้ อะไรทำนองนี้น่าสนใจน่าอ่านมากครับ


9. มีทีเด็ดเทคนิค : แบบเทคนิคในการเขียนบล็อกรึเปล่า ฮ่าๆ ก็ประมาณช่วยทำ

ให้การใช้โปรแกรมง่ายขึ้น การปอกผลไม้เร็วขึ้น เคล็ดลับหน้าใส กินอาหารแบบ

ไหนไม่อ้วนวิธีการใช้งานโปรแกรมตัดต่อให้ได้ประสิทธิภาพ การคัดกรองโฆษณา

ใน Adsense อะไรทำนองนี้ครับ


10. ไม่เอนเอียงหรือชี้นำ : ต้องการอ่านข้อมูลที่เป็นกลางและถูกต้องที่สุดไม่ต้อง

การ ให้ใครมาชี้นำหรือบิดเบือนข้อมูลจ้า





บล็อกน่าอ่าน เป็นแบบไหน(BLOG)





บล็อกน่าอ่าน เป็นแบบไหน



   บทความก่อนหน้านี้พูดถึงบล็อกน่าเบื่อกันไปแล้ววันนี้บทความนี้เรามาพูดถึง

บล็อกน่าอ่านกันมั่ว่า มีออะไรทำไมถึงน่าอ่านกันละ มาดูกันครับ

บล็อกน่าอ่าน เป็นแบบไหน(BLOG)


1. สบายตา : พื้นสีขาว วรรคตอนชัดเจนตัวหนังสือเรียบๆไม่มีสีฉูดฉาดจนตาลาย


2. สวยงาม : การแต่งบล็อกสวยงาม หัวข้อรูปสวย Header สวยเข้ากับเนื้อหา แต่

ไม่โหลดช้าจนเกินไป หรือรูปที่ใช้ประกอบบทความสวยและเข้าใจง่าย สื่อ

ความหมายได้ดี


3. ข้อมูลเป็นระเบียบ : เว้นวรรคดี ข้อมูลในบทความจัดเป็นตอนๆอย่างสวยงาม

ไม่ปนกับและยาวติดกันจนเกินไป มีขึ้นบรรทัดใหม่ เว้นช่องไฟได้น่าอ่าน


4. อ่านง่าย :  ตัวหนังสือไม่เล็กจนเกินไป (เป็นเทคนิคในการเขียนบล็อก) เพราะ

ถ้าเล็กไปจะต้องใช้บทความที่มากกว่าเดิมในการทำให้มันเต็มหน้า ขนาดพอดีๆ

อ่านง่ายคนชอบและยังทำให้แต่ละบรรทัดใช้คำน้อยกว่า ทำให้บล็อกในพื้นที่วาง

เนื้อหายาวขึ้นได้ด้วย (ในกรณีที่บทความไม่ได้ยาวเกิน)


5. เป็นหมวดหมู่ :  จัดเนื้อหาเป็นหมวดหมู่ เช่น ความรู้รอบตัว , เกร็ดความรู้ ,

สาระน่ารู้ , บทความน่าอ่าน จัดให้แยกชัดเจนจากกันจะทำให้หาบทความอ่านได้

ง่ายขึ้นครับ


6. ข้อมูลสัมพันธ์กัน :  ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเชื่อมต่อกัน (แบบวิกิพีเดีย) ที่ข้อมูลนั้น

สามารถเชื่อมต่อกันไปเรื่อยๆถ้าในบล็อกมีบทความที่เกี่ยวข้องให้พูดถึง เป็น

เทคนิคในการเขียนบล็อกที่ทำให้ทั้งบอทของกูเกิ้ลและผู้อ่านวนเวียนอยู่ในบล็อก

ของเรานานที่สุด


7. เขียนถูกต้อง : เขียนผิดบางทีผู้อ่านอาจจะหงุดหงิดรำคาญ เอ็งจะเขียนผิดเยอะ

ไปไหนเนี้ยไม่ไหวไม่อ่านละ ประมาณนี้ พยายามเขียนภาษาไทยหรืออังกฤษให้

ถูกด้วยครับ


8. ไม่เอนเอียงหรือใส่ร้าย : ถ้าผู้อ่านต้องาการความรู้ ข้อมูลแบบจริงจังการเอนเอียง

หรือใส่ร้ายป้ายสีจะทำให้ทัศนคติของผู้อ่านที่มีต่อบล็อกแย่ลงทันที รอบหน้าถ้าค้นหา

แล้วเปิดมาเจอบล็อกเราเขาก็ปิดทิ้งทันทีเลยครับ อย่าอคติเอนเอียงนะจ๊ะ


9. ใช้คำที่สุภาพ : ใครๆก็ไม่ชอบคำหยาบคาย สุภาพธรรมดาแบบการเขียนทั่วไป

ดีกว่าครับ


10. ข้อมูลไม่อัดจนดูเยอะ : ถ้าข้อมูลเยอะแนะนำว่า ตัดเป็นตอนๆแยกกันลงทีละ

บทความครับ เช่นข้อมูล เรื่อง การเสียดินแดนของไทย มีตั้ง 13ครั้งถ้าลงจริงจัง

ก็เยอะมากก็แยกไปครับ อย่าง การเสียฝั่งขวาแม่น้ำโขง  การเสียเขมรส่วนนอก

การเสียบันทายมาศ อย่างนี้เป็นต้น และยังเป็นข้อดีคือ ไม่ยาวจนน่าเบื่อ สามารถ

แยกเป็นตอนๆให้ผู้อ่านได้ติดตาม(ปล่อยออกมาวันละตอนยังได้เลย) ได้เนื้อหา

เน้นๆเฉาพะเรื่องที่สามารถโยงเข้าหากันได้ในแต่ละตอน (ส่งผลดีต่อการทำ SEO )

เป็นการเพิ่มหมวดหมู่ย่อยเข้าไปได้อีก









บล็อกน่าเบื่อ (เป็นแบบไหน)






บล็อกน่าเบื่อ (เป็นแบบไหน)



          บล็อกที่น่าเบื่อ ประโยชน์ของบล็อกนั้นมีมากมายครับ แต่ก็มีบ้างบางคนที่

ทำให้บล็อกเป็นพื้นที่ ที่น่าเบื่อไปเลย เนื่องจากอะไรบ้างนะหรือลองไปดูครับว่า

บล็อกหรือเว็บที่น่าเบื่อทั้งหลายบางบล็อกแค่หงุดหงิด บางบล็อกอาจจะต้องปิด

ไม่ดูไปเลย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นเขาทำอะไรทำไมถึงน่าเบื่อ ไปดูกันจ้า



10 แบบบล็อกน่าเบื่อ


1. โหลดช้า : โหลดหน้าเว็บเพจช้า รอนาน อืด ข้อมูลไม่มาซํกที อาจจะมาจาก

แต่งบล็อกมากเกินไป รูปเยอะเกินหรือโฆษณามากจนทิ้งภาระโหลดหน้าเว็บ

บล็อกอย่าอืด


2. ตาลาย : (อาจจะมีสาระแต่ข้อมูลเยอะจนท้อไม่เว้นวรรคไม่พักบรรทัด) หรือ

ใช้สีแสบตา สลับสีไปมาเยอะเกินความจำเป็นเล่นลวดลายเล่นสีกับตัวอักษร

จนคนอ่านมึนกันเลยทีเดียว


3. ปิดเพลงตรงไหน : เปิดมาปุ๊บเพลงขึ้นปั๊บ แบบเสียงดังน่ารำคาญเลย บ้าง

ก็เพลงที่ตั้งอาไว้ บ้างก็โค้ดวิทยุออนไลน์ (เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่เว็บฟังเพลงก็

อย่าไปเสี่ยงติดเลยครับ)มันอันตรายว่าผู้อ่านจะรำคาญแล้วยิ่งถ้าเขาหาที่ผิดไม่

เจอหรือคุณยัดไว้ในบล็อกไม่ให้ปิดยิ่งแย่เลยครับ เป็นเทคนิคการเขียนบล็อก 

ที่พลาดมากๆ เพราะถ้าเป็นผม จะหาที่ปิดเพลงก่อนถ้าไม่มีก็ปิดหน้าเว็บไปเลย


4. บังคับกดไลค์ : มี Box like เด้งขึ้นมาให้กดไลค์เพจเฟสบุ๊คก่อนเข้าเนื้อหา

ในบล็อก บางทีดีหน่อยมีให้กดปิดได้หรือ รอ 5 วิมันปิดเอง บางที่อย่างโหด

เลยครับบังคับว่าต้องกดไลค์ก่อนถึงจะอ่านข้อมูลได้ ผลสรุปคือ ปิดบล็อก

นั้นทิ้งเลยครับ ฮ่าๆๆ หรือถ้าสนใจเรื่องเนื้อหาในนั้นจริงๆก็กดไลค์ไปครับ

แล้วค่อยไปถอนไลค์คืนออกเชอะ !!!


5. โฆษณารอบทิศ : การที่เอาบล็อกมาหาเงิน ใช้บล็อกหาเงินนั้นเป็นเรื่อง

ที่ธรรมดามากครับ คนทำมาหากิน แต่บางทีก็ต้องระวังนิสนึง บางบล็อกท่านเล่น

วางโฆษณาด้านบน แถวยาว ด้านข้างแถวยาว ด้านล่าง อีกแถว ในเนื้อหาอีก 2

โอ้โห แม่เจ้าเยอะจนหน้าเพจโหลดช้า เยอะจนดูเละ ลายตาผู้อ่านถึงกับอึ้ง

นี่จะโฆษณา มากกว่าเนื้อหาซะอีก


6. ตัวเล็กมาก : ตัวหนังสือตัวเล็กมากๆเลย อ่านยากมากๆเลย


7. หลอกหาเงิน : พวกทำงานโดยการสมัครสมาชิกนั่นนี่ เก็บค่าแรกเข้า หรือ

ทำงาน 2-3 ชั่วโมง หรือพวกมานั่งคลิ๊กโฆษณา ต่างๆนานา ไม่ต้องสนครับ

เจอบ่อยไม่ได้ตังหรอกมันหลอกคุณ แล้วบล็อกพวกนี้เยอะด้วย คือพอเราจะหา

วิธีเพื่อหาเงินบทความผมโดนก๊อปเอาไปไว้ในบล็อกมันด้วยนะ แล้วมันใช้

บทความคนอื่นนี่แหละสร้างฐานบล็อกแนะนำการหาเงินของมัน พร้อมด้วย

วิธีการหาเงินของ(ที่หลอกลวง) ลงไปแจมกับเนื้อหาจากเว็บอื่นที่มีนขโมย

มาด้วย


8. มีแต่คีเวิร์ด tag : อันนี้ก็เป็นพวก SEO สายดำหวังผลให้ติดหน้า 1 อันดับต้นๆ

ในกูเกิ้ล เข้าไปไม่มีข้อมูลอะไรมีแต่ Tag นั่นนี่ ล้อบอทไม่ได้มีสาระประโยชน์แก่

ผู้อ่านเลยครับ


9. เขียนผิดๆถูกๆ : เขียนถูกๆผิดๆ (อันนี้บล็อกผมก็เป็นครับ ฮ่าๆๆ) ผู้อ่าน

บางท่านเขาค่อนข้างจะซีเรียสกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นภาษาไทยเขาคง

ไม่อยากให้เขียนผิดเขียนภาษาไทยให้ถูกกันเถอะครับ คำไหนไม่แน่ใจพิมพ์

ลงกูเกิ้ลดครับจะได้คำที่ถูกต้องมา ส่วนบล็อกผมที่ยังมีเขียนผิดอยู่บ้าง

จะพยายามปรับปรุงครับผม


10. ป๊อบอัพเด้งๆ : คือเปิดหน้าเว็บมา ป๊อปอัพเด้งมา อย่าน่าเบื่อ เช่น

เก็บหน้าเราไว้เป็นหน้าแรก  ไลค์เพจหน่อย หรือพอกดลิ้งไหนก็ตามจะเด้ง

โฆษณาไปอีกหน้านึงเปิดเพิ่มมาให้เฉยเลยอะไรทำนองนี้ มันทำให้

หงุดหงิดครับอย่าทำ







11 เทคนิคการเขียนบล็อกดัง (เรียกคนเข้าเยอะๆ)






เทคนิคการเขียนบล็อกให้ดัง 



การทำให้บล็อกดัง การโปปรโมทเว็บ ให้มีทราฟฟิกเยอะๆ การทำบล็อกให้คนชอบ

คนสนใจมีคนเข้าเยอะๆวันนี้ลองมาเสนอแนวทางกันดูครับ 11 แนวทางเอาไปปรับ

ใช้กันดูครับเผื่อจะมีประโยชน์กับท่านอื่นๆ

11 เทคนิคการเขียนบล็อกดัง (เรียกคนเข้าเยอะๆ)


1. ให้ความรู้ : เป็นบล็อกที่พูดง่ายๆคือให้ความรู้กับผู้อ่านจะเป็นเรื่องความรู้รอบตัว

แบบบล็อกของเรา (แหนะมีแอบโปรโมท) หรือความรู้เฉพาะด้านแบบบล็อกเกม

ตกปลา  รถยนต์ พระเครื่อง ขอแค่ให้ความรู้แนะนำให้สิ่งดีๆแก่ผู้อ่านเชื่อว่าจะมี

ผู้อ่านกลับมาอ่านบล็อกท่านและถ้าเขาเห้นว่าบล็อกของท่านมีประโยชน์ เขาจะ

บุ๊คมาร์ค(เซฟลิ้ง)ของบล็อกท่านไว้ในเว็บเบราเซอร์เอาไว้มาอ่านอีกรอบแน่นอน


2. รู้จักใช้โซเชียล : อาจจะสร้างเพจ แชร์ลงเพจ สร้าง G+ (แรงดีนะ) เอาไปแปะ

ในข่าวตามเพจ (ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยหละ) หรือ pinterestทวิตเอยอะไรเอย

หรือในยูทูปทำคลิปแล้วโยงมายังบล็อก มาลงที่บทความที่เกี่ยวข้องกันเพื่อความ

ครอบคลุมของลูกค้า (ผู้อ่าน)


3. อย่าหยิ่ง : ไปเม้นบล็อกคนอื่นบ้างไปเข้าสังคมไปแสดงความคิดเห้นบ้างโดย

ใช้ล็อกอินจากบล็อกเราเองนี่แหละไป แต่ไม่ต้องเอาบล็อกเราไปโปรโมทนะมัน

เสียมารยาท ให้เขาตามบล็อกเราขากคอมเม้นท์ที่สร้างสรรค์ของเราดีกว่า


4. ฝากลิ้ง : ไม่ใช่ฝาขวดน้ำกลิ้งนะ ฝาก- ลิ้งไว้ตามเว็บ ฝากลิ้ง เว็บบอร์ด หรือเว็บ

 bookmark ที่ต่างๆ สะพานบอท (หาที่ที่มีคุณภาพหน่อย) และอย่าลืมนำไปฝากไว้

กับgoogle ซับมิท (พิมพ์คำว่า google submit ในกูเกิ้ลเลยครับเจอแน่ๆ) และอีกที่คือ

bing submit ค้นในกูเกิ้ลนั่นแหละเหมือนเดิมเพื่ออะไรหล่ะ ก็เพื่อให้ google รวมถึง

bing ซึ่งเป็นเว็บเครื่องมือช่วยค้นหา (search engine) เข้ามาเก็บข้อมูลของบล็อกเรา

ไปจัดอันดับในหน้าแรกหรือหน้าไหนก็แล้วแต่เพื่อให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่สนใจได้

เข้ามาค้นเจอและเข้ามายังบล็อกของเรา เรียนรู้การใช้เครื่องมือเพื่อช่วยให้

search engine ช่วยบล็อกเราในการเรียกคนหรือ การทำ SEO ได้ที่เว็บ

thaiseoboard.com หาความรู้ได้เยอะมากครับ


5. วาทะศิลป์ : ข้ออื่นๆนั่นเป็นการพูดถึงเรื่องเทคนิค แต่ข้อนี้เป็นการพูดถึงการ

นำเสนอที่ต้องใช้สไตล์ส่วนตัว วาทะศิลป์ของผู้เขียนเป้นหลักซึ่งสามารถฝึกกันได้

ฝึกเอาจากประสบการณ์รวมภึงการเปิดใจเป็นผู้อ่านเยอะๆ ด้วยเช่นกัน ว่าการนำ

เสนอยอ่างไรการเขียนสื่อออกมาแบบไหนทำให้ผู้ชม (ลูกค้า หรือผู้อ่าน) บล็อก

ของเราชอบบ้าง


6. อย่าขี้เกียจ : หมั่นอัพเดทบทความ ปรับแก้เว็บบล็อก อัพบทความตามติดกระแส

อย่างห่างหายไปนานมันจะทำให้ขาประจำของบล็อกเราที่ติดตามอ่านอยู่หายหน้า

หายตาไปได้เพราะเราไม่อัพบทความต่อเนื่องจนเขาคิดว่าเราไม่อัพบล็อกแล้ว

คนที่ตามอ่านเราก็จะห่างหายไปจนเลิกดูเลิกนิยม


7. โปรโมทโฆษณา : อาจจะต้องไปซื้อโฆษณาหรือไปโปรโมทกับเว็บดัง อาจจะ

เป็นคนดัง ดารา เน็ตไอดองจต่างๆ ช่วยโปรโมท (ต้องใช้ทุนมากหน่อยไม่แนะนำ)

แต่ก็ได้ผลอยู่พยายามฉวยโอกาสในการโปรโมทในช่วงแรกทำให้ผู้อ่านติดคุณ

หลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินเหมือนการโปรโมทสินค้าแบบอื่นๆแล้ว


8. Content is king : เนื้อหาคือทุกสิ่ง เป็นตัวเอกของเรื่องถถ้าเนื้อหาของ

บทความเราดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ทำบทความให้ดีในแบบของเราถ้าบทความดี

เราจะหาเงินจากบล็อก โปรโมทสินค้า นำเสนอผลงาน อะไรก้ง่ายเลยครับถ้า

เนื้อหาของเราดี


9. สะดวก : บล็อกเข้าง่ายโหลดเร็ว ไม่เกะกะไม่ดูสีฉูดจนแสบตา ไม่ต้องมานั่งหา

ที่ปิดเพลง (บางบล็อกตั้งเพลงไว้ด้วยเข้ามาถึงหาที่ปิดเพลงสิ เพราะมันรำคาญ)


10. ข้อมูล : ต้องพยายามหาข้อมุลที่ถูกต้อง และเป็นกลางให้มากที่สุดถ้าข้อมูลผิด

ให้ข้อมุลผิดๆแก่ผู้อ่านไป อาจเป็นผลเสียแก่ตัวบล็อกได้ในภายหลัง (ความเชื่อมั่น

ของผู้อ่านและเครดิตที่เสียไปกับข้อมูลมั่วๆ)


11. สร้างแบรนด์ : พยายามทำให้บล็อกของเราเป็นที่รู้จักเริ่มด้วย Url ที่น่าจำ

จำง่าย ชื่อที่สะดุดหูและจำง่าย แนวทางเอกลักษณ์ ต่างๆของเรา


ภาษาที่ใช้ บ่งบอกถึงเรื่องราวของบล็อกพยายามาสร้างจุดเด่นและเสนอเรื่องที่เป็น

กระแสหรือเรื่องราวเฉพาะด้านที่ดีกว่าเว็บหรือบล็อกในแนวเดียวกันทำไปเรื่อยๆครับ

ไม่ต้องไปซีเรียสเครียด ทุกอย่างจะสร้างและบ่มเพาะวิธีการเฉพาะตัวในแบบของ

เราจากประสบการณ์การทำบล็อกของตัวเองอะไรที่เหมาะกับเราอะไรที่ทำแล้วดี

เราจะเรียนรู้มันขึ้นมาทีละอย่าง สำคัญแค่เปิดใจ อ่านให้เยอะและอย่าหยุดเรียนรู้










บล็อก (Blog money) หาเงินอย่างไร






หาเงินจากบล็อก 



การหาเงินจากบล็อกนั้นมีมากมายหลายวิธีการ หลายรูปแบบบทความนี้เราจะ

ลองมานำเสนอบางส่วนของการหารายได้ด้วยบล็อกว่ามีอะไรกันบ้าง

blog

1. จากตัวแทน : เช่นโฆษณาอย่าง Adsense BumQ Nipa หรือของเจ้าอื่นๆที่เราจะ

เอามาติดไว้เพื่อหารายได้จากเนื้อหาของเรา


2. โฆษณา : ถ้าบล็อกของท่านเป็นที่สนใจหรือมีทราฟฟิกเยอะๆ บางครั้งก็จะมี

โฆษณาที่มีเนื้อหาไปในทางเดียวกับบล็อกของท่านมาลงสร้างรายได้เพิ่มเติม

ได้อีกทางนึง


3. ขายของ : ครีมหน้าเด้ง พระเครื่อง งานแฮนด์เมด งานประดิษฐ์อะไรทำนองนี้

แต่ก่อนจะขายได้ก็คงต้องสร้างบทความที่มีประโยชน์เป็นที่น่าเชื่อถือและให้

ความรู้แก่ผู้ชมก่อนถึงจะดี


4. ตัวแทนจำหน่าย  : เช่นพวกขายของผ่านตัวแทนหักค่าคอมมิชชั่น affiliate

เป็นหนทางหารายได้อีกทางนึงสำหรับผู้ที่ถนัดในการขาย มีทั้งการขายของทั่วไป

อีบุ๊ค ก็มีนะของไทย Affiliate ของต่างประเทศถ้าไม่ถนัดของไทยก็มีหลายเจ้าครับ

ลองศึกษากันมาทำเงินดู โดยใช้บล็อกนี่แหละเป็นฐานในการขาย


5. รับโปรโมท : ถ้าคุณสร้างบล็อกแล้ว ทำมันอย่างดีจนมีผู้สนใจติดตาม

(เรียกง่ายๆว่าดัง) ก็สามารถรับงานโดยการรับโปรโมทสินค้า โปรโมทประชา

สัมพันธ์งานของลูกค้าเรียกเงินเข้ากระเป่าได้อีกทางนึงไม่ยากเลย


6. สร้างฐาน : ให้ความรู้ สร้างฐานแฟนคลับ ในเฉพาะทางของตัวเอง เช่น

การทำบล็อกการหาเงินก็สร้างแนวทางนั้นเป็นกูรูเพื่อขาย อีบุ๊ค เปิดสัมนา

เรียกเก็บค่าเข้าฟัง การทำบล็อกแนะนำการหาเงินจากเกมบล็อกความรู้รอบตัว

เพื่อการศึกษาหรือทำบล็อกท่องเที่ยว อนาคตอาจจะทำทริป จัดทริปเที่ยว

หารายได้อีกทางนึง หรือเป็นนักเขียนตามบล็อก เพื่อปุทางไปสู่การเขียนที่ใหญ่

กว่านั้นอย่างเขียนลงหนังสือเจ้าใหญ่ๆ


ทุกอย่างมีทางหาเงินในแบบของมันอยู่ที่เราจะใช้ไปในทางไหนครับ

(ผมก็กำลังทำในแบบที่ผมต้องการอยู่ สำเร็จหรือไม่อีกเรื่องนึง 

แค่ได้ทำรึเปล่าแค่นั้น)






บล็อก มีประโยชน์อย่างไร






บล็อก มีประโยชน์อย่างไร



    บล็อก (Blog) เป็น เว็บไซต์ประเภทหนึ่งที่ฮิตฮอตมาก่อนโลกโซเชี่ยลอย่างอื่น

เช่น เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินตราแกรม อะไรทำนองนั้นค่อนข้างจะอยู่ในรูปแบบ

สำเร็จรูป (ไม่ใช่บะหมี่) สามารถปรับแก้และใช้งานได้สะดวกสบายกว่าการเขียน

เว็บทั่วๆไปมี ปลั๊กอิน ให้เลือกมีของให้ตกแต่งมีรูปแบบการจัดการให้ผู้ใช้สามารถ

ปรับแต่งได้ตามใจชอบตามความถนัดและความสามารถแบบ Blogger นี่ไงละครับ

มาดูกันว่า บล็อกนั้นมีประโยชน์อย่างไรกันบ้างสำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตหรืออะไร

ก็แล้วแต่ที่ต้องการข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไปใช้หรือถ่ายทอดมันลงมา

blog



บล็อก มีประโยชน์อย่างไร


1. สร้างสังคมส่วนตัว : เป็นกลุ่มบล็อกของตัวเองหรือสังคมกว้างๆ อย่าง บล็อก

ของExteen ที่มีสังคมบล็อกของผู้ใช้รวมตัวกัน แชร์กันทั้งเรื่องข้อมูล งานเขียน

บันเทิง กีฬา (ครอบคลุมทุกเรื่อง) อาจจะไม่เด็ดดวงเท่าสังคมออนไลน์อย่าง

เฟสบุ๊คหรือ ทวิตเตอร์ แต่ก็เป้นสังคมที่อยู่กันอย่างมีระเบียบกว่าและค่อนข้างจะ

สงบมีมารยาทกว่าพอสมควร


2. ความรู้ : บล็อกที่ใช้เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ สาระ ต่างๆ ความรู้รอบตัว 

เรื่องราวที่เป้นประโยชน์ต่อผู้อื่นสิ่งผู้เขียนจะได้เอามาแชร์และบอกเล่าให้ผู้คน

ในโลกอินเตอร์เน็ตได้รับรู้และเรียนรู้กับเขาด้วย


3. ผลงาน : บล็อกที่นำเสนอผลงาน อย่างเช่น บล็อกของนักวาดรูป นักตัดต่อ

หรือของนักประดิษฐ์สิ่งเล็กๆ อะไรทำนองนี้เพื่อเอาไว้ใช้โชว์ผลงานของตนเอง


4. ไดอารี่ : เรื่องราวส่วนตัวเรื่องราวของเราในชีวิตประจำวัน เรื่องราวในอดีต

หรือสิ่งที่เรามีความคิดเห็นสามารถเอาลงเป้นช้อมุลใช้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยเช่นกัน

ครับ


5. หารายได้ : เช่น การติดโฆษณา  การแนะนำโปรโมทสินค้า การทำ affiliate

การติด Adsense อะไรทำนองนี้เพื่อสร้างรายได้หาเงินจากบล็อกให้ตัวบล็อก-

เกอร์เอง (ต้องมีเนื้อหาที่คนสนใจด้วยนะถึจะทำได้)


6. ติดต่อ : ไว้ใช้ติดต่อกับแฟนคลับหรือเพื่อนของตน อย่างนักฟุตบอลต่างชาติ

ในประเทศไทยหลายคนก้มีบล็อกส่วนตัวไว้เขียนบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่ตนเอง

ได้เจอมาให้แฟนคลับได้รับรู้ ความเคลื่อนไหวตลอดเวลา


7. จัดเก็บข้อมูล : บล็อกเป็นเว้บสำเร็จรูปที่สามารถจัดเก็บข้อมุลต่างๆได้ง่าย

(ถ้าเราแยกให้ดี) ง่ายกว่าพวกเฟส หรือ ทวิต แน่นอนครับ และไม่มั่วอีกด้วย ง่าย

ต่อการดูแลจัดเก็บข้อมุลของเราเป็นอย่างมาก


8. นำเสนอ  : เช่นนายแพทย์นำเสนอเรื่องราว ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ หรือ

น้องๆสาวๆสวยๆนำเสนอเกี่ยวกับตัวเอง ความสวยความน่ารัก หรือนักคอสเพลย์

ตี้ ปราชญ์ชาวบ้าน เป็นต้น


9. ความคลั่งไคล้ : ประมาณ แฟนคลับ ดีทูบี (เก่าไปมั้ย ฮ่าๆ) แฟนคลับโค้ชเช

แฟนคลับคนนั้นคนนี้ เป้นที่รวมข้อมุลของศิลปินและคนที่เราชื่นชอบเอาไว้สำหรับ

เหล่าติ่งทั้งหลายของคนๆนั้น


10. นักเขียน  : นักเขียนเรื่องสั้น นักแต่งนิยาย นักเขียนหนังสือเอามาลงแทนที่

จะเอาลงแค่ในเว็บบอร์ดให้คนในเว็บอ่านอย่างเดียวก็เอามาลงไว้ในบล็อกด้วย

เป็นการเก็บข้อมูลไปในตัวรวมถึงให้สังคมบล็อกนั้นๆด้วยบางคนอาจจะเห็น

บล็อกเป็นได้อีกหลายๆอย่าง ทำประโยชน์จากมันได้อีกเยอะ เช่นเป็นที่ของเรา

 2 คน (เรื่องความรัก) เป็นที่เอาไว้สำรองข้อมูล เป็นที่เอาไว้ฉุกเฉินเวลาเว็บ

หลักเราเดี่ยง หรือเอาไว้กระจายข่าวจากบล็อกหรือเว็บอื่นๆ ไว้โปรโมท อะไร

ที่ต้องการ บล็อกมีทั้งแบบเสียตังและฟรีเรื่องใช้กันได้ตามสบายครับส่วน

Blogger แห่งนี้ฟรีแน่นอน







ประเภทของบทความ 2





ประเภทของบทความ
6.บทความชีวประวัติ นำเสนอประวัติบุคคลที่ค่อนข้างจะเป้นที่สนใจหรือมีความ

สำคัญพอที่จะมีคนต้องการประวัติความเป็นมาของบุคคลนั้นๆ



7.บทความโปรโมทโฆษณา  เพื่อโฆษาโปรโมท ขายสินค้าและสิ่งต่างๆและ

หวังผลในทางใดทางนึงในการเขียนบทความ บางครั้งบางทีอาจหมายถึงการ

โปรโมทตัวบุคคลหรือเป็นสื่อไปในตัว




8.บทความสื่อสาร ใช้บทความนี้เพื่อต้องการบอกเล่าข่าวสาร สื่อสารถึงผู้อ่าน

ให้รู้ข้อมูลความเป็นไปความรู้ในเรื่องที่ผู้เขียนนำเสนอเป็นเหมือนกับจับความ

เคลื่อนไหวอัพเดตข่าวสารต่างๆให้ผู้อ่านได้รู้ในเรื่องที่สนใจอยู่ว่ากำลังทำอะไร

ไปถึงไหนแล้ว ตามติดกระแสสังคม



9.บทความโต้แย้งและกระตุ้นจิตสำนึก  บทความที่ถกเถียงต่างๆนานาเพื่อ

ชวนให้คิดเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของผู้อ่าน หรือบทความที่ใช้เพื่อตอบโต้การ

กระทำอย่างใดอย่างนึงกับเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกเห็นต่างจึงต้องเขียน

บทความออกมาเพื่อโต้แย้ง



10.บทความเชิงเปรียบเทียบ เป็นการเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบหรือหาข้อดี

ข้อเสียของแต่ละอย่างของข้อมูลที่แตกต่างกันมาเปรียบเทียบหรือบุคคล

ตัวละครหนัง หนังสือ ละคร ซีรีย์ เพื่อหาสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ที่

สุดแล้วก็แล้วแต่ผู้อ่านว่าจะชอบแบบไหน (หรือบางครั้งผู้เขียนอาจจะใส่ความ

คิดเห็นของตัวผู้เขียนเองก็ได้)



ข้อห้ามควรระวังในการเขียนบทความ 2




ข้อควรระวังในการเขียนบทความ 2




5.ภาพแทนข้อมูล (ไม่ใช่เฟสบุ๊ค)


ถ้าเป็นในเฟสบุ๊ค facebook นั้นการอัพเพจนั้นการใช้รูปสื่อสารกับลูกเพจกับคนอื่น

นั้นย่อมดูดีมากกว่าเพราะทำให้เข้าใจง่าย แต่ในเว็บหรือบล็อกนั้นคุณควรจะมีข้อมูล

ที่เป็นตัวหนังสือได้ด้วยเพราะมันมีผลต่อหน้าการค้นหาของ search engine ถ้ามีแต่

รูปไม่มีเนื้อหาจะเสียเปรียบในด้านนี้เป็นอย่างมาก



6.เว้นวรรค ย่อหน้า


การเขียนบทความนั้นจังหวะช่องไฟ เว้นวรรคก็สำคัญเว้นวรรคให้ถูกจังหวะให้คำ

ต่อเนื่องไม่ใช่พิมพ์2-3 ประโยคเว้นทีนึงแบบ งงๆ เช่นฉันไปเที่ยว ที่ภาคเหนือ 

แหม่มันช่างสวยงามมาก ฉันเลย คิดว่าจะ เขียนบทความ เพื่อเล่าเหตุการณ์ (-..-)

(เว้นเยอะไปไม่สวยเลย) กับแบบนี้  .. ฉันไปเที่ยวที่ภาคเหนือ แหม่ มันช่างสวยงาม

มาก ฉันเลยคิดว่าจะเขียนบทความเพื่อเล่าเหตุการณ์ดูดีกว่ากันตั้งเยอะเช่นเดียวกัน

กับการย่อหน้าสมควรย่อหน้าในช่วงที่กำลังขึ้นหัวข้อหรือพูดในเรื่องที่แปลกแยก

ออกไปจากเรื่องข้างต้นเช่นคุณพูดถึงเรื่องสัตว์เลี้ยงอย่างแมวอยู่ในย่อหน้าแรก 

พอจะมาพูดถึงสุนัขคุณควรขึ้นบรรทัดใหม่ แล้วย่อหน้าเป็นอีกเรื่องนึงให้ชัดเจน

ไปเลยคนอื่นจะได้เห็นความแตกต่างของเนื้อหาและอ่านง่ายขึ้น



7.ความถูกต้อง ภาษา และคำหยาบ


ความถูกต้อง - ของภาษาที่ใช้ เช่น สระ พยัญชนะ ภาษาอังกฤษ การเรียกทับซับ 

คำที่ให้ความหมายต้องชัดเจนและเข้าใจไม่เขียนคำผิด


ภาษา - อย่าพยายามใช้ภาษาวิบัติ หรือภาษาพูดนำมาเขียน เช่น อยู่ เขียนเป็น 

อยู่เป็น เขียนเป็น เปน อย่างนี้ต้องระวังครับ


คำหยาบ - อย่าพยายามใช้คำหยาบลงในบทความของเรามันจะทำให้ดูไม่สุภาพ

ผู้อ่านที่ชอบคำหยาบก็มีเยอะ คนที่ชอบก็มีแต่คนที่ชอบคำหยาบก็สามารถอ่านแบบ

ไม่หยาบได้ธรรมดามาตราฐานแต่คนที่ไม่ชอบคำหยาบนั้นถ้าเจอบทความหยาบๆ

ก็ปิดหนีไปเลยเสียผู้อ่านไปน่าเสียดายนะครับ



8.ไม่อคติ เอนเอียง


ควเขียนบทความตามความเป็นจริงไม่เอนเอียงหรืออคติต่อสิ่งใดมากเกินไป

คนที่เขียนได้ถูกหลักความเป็นจริง มีหลักฐานและหลักการไม่เอนเองมักได้รับความ

นิยมจากผู้อ่านเพราะสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ลำบากใจแม้จะเป็นฝ่ายซ้ายหรือขวา

ก็ตาม เพราะทุกอย่างอยู่บนหลักความเป็นจริง



9.ตรวจทาน


ตรวจสอบความถูกต้องของบทความ ทั้งภาษา การเขียน ข้อมูล และเรื่องที่จะเขียนว่า 

เขียนถูกเขียนครบ ตรงตามประเด็นหรือไม่


ข้อห้ามควรระวังในการเขียนบทความ



รูปแบบสไตล์บล็อกที่คุณอยากเป็น






สไตล์บล็อกที่คุณอยากเป็น



1.นิชบล็อก (Niche) : เป็นบล็อกที่พูดถึงเรื่องที่มีผู้สนใจเยอะมีความต้องการจะรู้หรือการ

ค้นหาสูงแต่มีคู่แข่งน้อยเป็นบล็อกแบบเฉพาะทางค่อนข้างจะอยู่ในความชอบส่วนตัวของ

ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตหรือกลุ่มที่สนใจแบบจำเพราะเจาะจงถ้าเราทำดีๆเขียนเนื้อหาได้ดีเราจะ

สามารถรักษาฐานผู้ชมยูสเซฮร์ให้อยู่ในบล็อกของเราได้อย่างยาวนานและเหนียวแน่น

การทำเงินจากบล็อกประเภทนี้ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


2.บล็อกนิยาย : เป็นบล็อกที่แสดงตัวตนต่างๆของนักเขียนผ่านเรื่องเล่านิยายของเขา

ออกมา ยิ่งถ้าผู้ใดมีความสามารถในการเขียนนิยาย เขียนดีเล่าสนุกรวมถึงความสม่ำเสมอ

ในการอัพเดทที่คงที่แล้วละก็ คุณก็จะได้ผู้อ่านที่ยอมบุ๊คมาร์คลิ้งบล็อกของคุณหรือเก็บไว้

อ่านต่อยาวๆรักษาลูกค้าหรือผู้อ่านได้อย่างดีเลยทีเดียวถือเป็นการเขียนบล็อกที่ใช้ความ

สามารถในด้านการเขียนการเล่าเรื่องและจินตนาการสร้างผู้อ่านผู้ชมขาประจำให้กับบล็อก

เราได้อย่างแน่นอน


3.ไดอารี่ : เป็นบล็อกสไตล์ชีวิตฉันของฉันเป็นการจดบันทึกประจำวันของเราแน่นอนเมื่อ

เรานำมันมาลงในโลกอินเตอร์เน็ตถึงมันจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวแต่ก็ต้องมีคนเข้ามาอ่านบ้าง

สนใจในชีวิตเราก็พอมีอยู่ยิ่งถ้าผู้เขียนมีววาทะในการใช้สำนวนในการเขียนที่ดีน่าสนใจ

แล้วด้วยละก็เผลอๆจะมีผู้ติดตามสนใจมากขึ้นไปด้วย สร้างแบรนด์สร้างตัวเองให้น่าสนใจ

สามารถต่อยอดไปต่างๆนานๆได้อีกเยอะ ก็คล้ายๆเฟสบุ๊คไม่ผิดแน่ๆ


4.วิชาการความรู้ : บล็อกที่ให้ความรู้รอบตัวแก่ผู้อ่านมีอยู่มากมายครับ ถ้าคิดจะทำบล็อก

แนวนี้ต้องมีการนำเสนอที่แตกต่างน่าสนใจอ่านง่ายที่สำคัญเลยข้อมูลที่ใส่ลงไปต้องเป็น

ข้อมูลที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน ข้อดีของการทำบล็อกสไตล์นี้นั้นนอกจากให้ความรู้แก่ผู้อื่น

แล้วยังเป็นการให้ความรู้แก่ตัวเองอีกด้วยซึบซับจากการเขียนบทความของตัวเราเองทำให้

เรานั้นมีความรู้เหมือนได้อ่านข้อมูลนั้นตามไปด้วย ปล.อย่าไปก็อปเขามาหล่ะแทบจะไม่ได้

อะไรเลยแบบนั้น ถ้าจะทำก็อ่านให้เข้าใจสรุปความหมายของสิ่งเหล่านั้นมาจะดีที่สุด


5.ความเห็นส่วนตัว / วิจารณ์ : บล็อกแนวนี้เป็นการหยิบเรื่องที่เราต้องการจะแสดง

ความเห็นหรือวิจารณ์มาพูดคุยกับผู้อ่านในแบบของตัวเองข้อสำคัญเลยที่ท่านจะต้อง

ระลึกไว้เสมอๆคืออย่าไปกันความคิดผู้อื่นยอมรับความเห็นที่แตกต่างและไม่อคติใน

การนำเสนอข้อมูลถ้ามีอคติหรือเอนเอียงก็ไม่ต่างจากบล็อกปลุกปั่นหรือภาษาบ้านๆ

เรียกว่า " เสี้ยม "  นั่นเอง


6.เกาะกระแส : ง่ายๆอะครับ อะไรที่เป็นที่พูดถึงหรือฮือฮาอยู่ในกระแสสังคมท่านก็

จับเอามาเป็นประเด็นขยี้ๆมันซะ เช่น เรื่องวอลเล่บอล หมีแพนด้า คุณตันแจกนั่นแจกนี่

วงโยขอทานดาราคนนั้นได้กับคนนี้การจะทำบล็อกแนวนี้ท่านจะต้องเป็นคนที่ติดตาม

ข่าวสารกระแสสังคมมากคนนึงเลย หูไวตาไวเพราะกระแสพวกนี้ผ่านมาผ่านไปช้าอด

ไม่ทันกินเขาถ้าใครสามารถเดาเหตุการณ์หรือวิเคราะห์เหตุการณ์ได้ล่วงหน้าว่ากระแส

ที่น่าจะจุดติดในอนาคตคืออะไรก็เล่นมันไว้เบาๆก่อนพอเริ่มมีกระแสคนก็จะเริ่มค้นหา

หลังจากนั้นท่านก็เอามาขยี้อีกทีทำลิ้งต่อมาจากสิ่งที่เล่นเอาไว้ก่อนหน้านั้น รับรองฉลุย


7.นำเสนอข่าว : การเสนอข่าวโดยทั่วไปแน่นอนท่านคงสู้เว็บข่าวดังๆไม่ได้หรอกลอง

ใช้ข้อมูลเนื้อหาของข่าวมาเล่า คุยข่าวใส่ความเห็น เสริมความรู้ทัศนคติส่วนตัวลงไป

ดูสิครับและบางครั้งก็โยนโจทย์ในข่าวนั้นๆกลับไปให้ผู้อ่านได้แสดงความคิดเห็นบ้าง

เป็นการสื่อสารกับผู้อ่านได้ดีอีกทางนึงเลยทีเดียว


8.เอนเตอร์เทน : ไม่ต้องคิดไรมากอะไรที่สร้างสรรคืสนุกน่าสนใจไม่ต้องอิงวิชาการ

ไม่ต้องใช้ความเห็นอะไรมากมายเอาสนุกคลายเครียดจัดไปเลยครับแต่ต้องอยู่ใน

ขอบเขตไม่ไป" ละเมิดลิขสิทธิ์ "ใครเขาหล่ะ


 บล็อกเทพ  : เป็นประเภทนักเขียนบล็อกข้าของข้าอยากทำไรก็ทำจะพิมพ์อะไรลง

ไปจะทำอะไรที่ใจอยากตามสบายชิวๆไม่เน้นอะไรทั้งนั้นเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่องตาม

ราวขอแค่ไม่ไปทำผิดต่อใครไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียผิดกฏหมายก็พอแล้ว จริงไหมละครับ

บรรดาบล็อกเทพ


 * แต่สิ่งที่ทุกบล็อกทุกสไตล์ต้องการ ยกเว้น " บล็อกเทพ " คือ " การโปรโมต "  ให้คน

รู้จักที่เหลือก็อยู่ที่คุณภาพของเนื้อหาคุณแล้วหล่ะครับ




การเขียนบทความ (ฉบับมือใหม่)




การเขียนบทความ


               วันนี้นำเสนอการเขียนบทความลงบล็อกหรือที่ไหนก็แล้วแต่ครับ

สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยลองแล้วกล้าๆกลัวๆว่าจะทำอย่างไร ลองมาอ่าน

บทความนี้ดูครับว่าเราควรทำอย่างไรถ้าเราอยากจะเขียนบทความ



1.เรื่องที่ชอบและสนใจ : เมื่อได้ทำเรื่องที่เราชอบหรือเรื่องที่เราสนใจ ข้อมูล

เชิงลึกหรือความคิดเห็นรวมทั้งทัศนคติส่วนตัวที่เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงของเรา

จะลงลึกไปยังบทความของเราด้วยทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนได้รับข้อมูลที่วิเคราะห์

วิจารณ์ในรูปแบบที่แตกต่างจากที่เขาคิดและมีประโยชน์มากขึ้นถ้าเรื่องนั้นเรามี

ความสนใจยิ่งรู้ลึกเจาะลึกรู้ถึงแก่นของมันยิ่งทำให้ผู้อ่านที่สนใจในเรื่องนั้นติดตาม

บทความของคุณต่อๆไปด้วยอย่างแน่นอน



2.นำเสนอแปลกออกไป : แตกต่างเพื่อเป็นที่สนใจเรื่องนี้ต้องพยายามทำไม่ใช่

เรื่องง่ายหรือบางทีนึดหลัก เราเป็นตัวเราก็พอ ไม่ก็ลองหาแนวทางจากนักเขียน

หรือเจ้าของเพจดังที่มีสไตล์ของตัวเองดูว่าเขามีวิธีการเทคนิคในการเขียน

บทความแบบไหนยังไงแต่สุดท้ายคงหนีไม่พ้น " ตัวตน " ของเราอยู่ดี



3.ร่างแบบลงกระดาษ : เขียนแบบร่างไว้บนกระดาษร่างซะก่อนที่จะเอาลงใน

กระดาษจริงหรือบนโซเชี่ยล ในบล็อกหรือที่ใดก็ตามแต่ให้เราได้กลั่นกรองลอง

เขียนลองซึมซับข้อมูลของตัวเองผ่านปากกาลงบนกระดาษว่าสิ่งที่เราเขียนไป

นั้นเราจดจำช่วงไหน ส่วนไหนต้องเน้นเรียบเรียงให้สวยได้บ้าง



4.เขียนเสร็จทิ้ง : เขียนเสร็จก็ทิ้งไว้ก่อนแล้วนำมาอ่านใหม่เพื่อปรับ เขียนแล้ว

กลับมาอ่านอีกทีเราจะได้มุมมองใหม่ๆเพิ่มเติมลงไปหรือแก้ไขให้บทความเรา

ลื่นขึ้น



5.ข้อมูลถูกต้อง : ความเชื่อมั่นของผู้อ่านสำคัญมากนะครับถ้าข้อมูลไม่ถูกต้อง

หรือตั้งใจป้อนข้อมูลผิดๆให้เข้าไป วันนึงเขารู้ทันและจับได้ คุณก็เป็นแค่นักเขียน

กากๆ ข้อมูลพลาดๆ หรือเป็นได้แค่พวกเสี้ยมยุแยงเท่านั้น



6.อย่าไปยึดติดกับรูปแบบ : อย่าไปยึดติดว่าเราต้องทำตามรูปแบบประเภท

บทความต่างๆให้เราฟรีสไตล์ไปก่อนในช่วงเริ่มต้นแล้วค่อยมาหาแนวทางของ

ตัวเองบางทีเมื่อเราเจอสไตล์ของตัวเองแล้ว เรากก็ไม่ต้องไป เดินตามรูปแบบ

ใครหรือทำให้บทความเราเป็นประเภทใดประเภทนึง ทำให้บทความเราเป็นแบบ

ที่เราอยากให้เป็น



7.สอดแทรก  : ข้อมูลเกร็ดเล็กๆน้อยๆไว้เป็นความรู้ และประกอบบทความให้

ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น(แต่อย่าเยอะจนออกทะเลไปเรื่องอื่นหล่ะ)



8.ไม่ต้องไปกังวล : ว่าคนจะอ่านเยอะหรือไม่ ชอบหรือเปล่า ไม่สำคัญเท่า

กับว่าเราพอใจมันหรือยัง มีตรงไหนที่ยังไม่ดีในสายตาเรา มีอะไรที่เราต้อง

ปรับปรุงในการเขียนครั้งหน้าอย่าไปกังวลต่อความผิดพลาด ให้เรื่องเหล่านั้น

เป็นข้อเตือนใจไว้ปรับปรุงแก้ไขในคราวหน้า ถือว่ามันเป็นประสบการณ์

ของเราในการทำให้บทความของเราเป็นบทความคุณภาพ



9.อ่านง่าย : คำที่ใช้อ่านง่าย เว้นบรรทัด เว้นวรรค เอาให้ผู้อ่านเข้าใจอย่าง

ให้มันดูน่ารำคาญการใช้สีกับตัวอักษรก็ให้ดูเป็นระบบอย่าเล่นสีซะเหมือนชุด

ลิเกมันดูสกปรกและรำคาญสายตาครับ



10.สนุกไปกับมัน : ถ้าเมื่อไหร่ที่การเขียนบทความของเราเป็นเรื่องเบื่อแต่

จำใจต้องทำ ความน่าสนใจของบทความจะลดลงผิดกับสิ่งที่เราลุ่มหลง

สนใจบทความที่เขียนออกมาจะเต็มไปด้วยความน่าสนใจ ที่ตัวเราถ่ายทอด

ลงมาบนตัวหนังสือและรับไปถึงผู้อ่าน



            อ่านแล้วก็เริ่มทำมันซะ !! บทความในนิยามง่ายๆที่ผมอยากจะสื่อเลย

คือเหมือนเราพูดคุยกับเพื่อนทุกคำพูดทุกสิ่งที่สื่อไปสามารถเอามาเขียนเป็น

บทความได้ทั้งหมดขอแค่ให้มันอยู่บนพื้นฐานความจริงไม่เสียดสีใส่ร้ายผู้ใด

คุณจะบ่น จะเพ้ออะไรอย่างไรสื่อออกมาให้ผู้อ่านรู้ในทุกตัวอักษรที่กลั่นออกมา

จากความคิดคุณเท่านี้มันก็เป็นบทความที่ดีได้แล้วครับไม่จำเป็นต้องเก่งเวอร์

เฟอร์เฟ็ค (เขียนถูกป่าวนิ ฮ่าๆ) ขอแค่มีใจรักที่จะเล่าจะเขียน จะแชร์ไม่ใช้มันเพื่อ

ทำร้ายทำลายใคร ก็พอ




บทความตัวอย่างเชิงคุณภาพ






บทความตัวอย่างเชิงคุณภาพ 




      บทความตัวอย่างเชิงคุณภาพ ผู้เขียนหลายท่านต้องการให้บทความที่

ตัวเองเขียนนั้นมีคุณภาพให้ผู้อ่านได้รับความรู้รอบตัว  ในเรื่องราวที่ตัวเองเขียน

ใช้ทั้ง เทคนิคในการเขียนบทความความพยายามต่างๆนานาเพื่อที่จะให้ผู้อ่านได้

เห็นคุณภาพของงานทั้งความตั้งใจของผู้เขียนและข้อมูลที่หามาได้คอนเท้นท์

หรือเนื้อหานั้นสำคัญอย่างยิ่งกับบทความที่จะนำเสนอและเนื้อหาดี



     ทำให้บทความคุณภาพ น่าเชื่อถือ แต่ถึงอย่างนั้นนอกจากเนื้อหาดีมีชัยไปกว่า

ครึ่งแล้ว ยังต้องมีส่วนประกอบอย่างอื่นตามมาด้วยเรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่จะเป็น

ส่วนประกอบที่สำคัญให้เรามีบทความคุณภาพเอาไว้ประดับบารมี ฮ่าๆ

การเขียนบทความ


ตัวอย่างบทความคุณภาพมีอะไรมั่ง


1.ชื่อเรื่องที่ดี


การตั้งชื่อเรื่องเป็นเหมือนการบันไดขั้นแรกที่เราจะสื่อกับผู้อ่านว่าเราต้องการจะ

เขียนบทความอะไรจะสื่ออะไรกับผู้อ่านการใช้ชื่อเรื่องที่ดี ไม่ดัก มีความสัมพันธ์กับ

เนื้อหา ใช้คำเด็ดๆให้คนสนใจเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้บทความคุณ



2.บทนำ


มีบทนำปูพื้นเรื่องมาซักนิดเป็นการเกริ่นนำเรื่องราวหรือแสดงให้เห็นเรื่องราวรอบ

ข้างหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นำเสนอเพื่อเชิญชวนให้ผู้อ่านอ่านบทความ

ของเราต่อไป



3.ภาษาที่ถูกต้อง


การใช้ภาษาที่ถูกต้องและสุภาพเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรู้และความเข้าใจ

ในด้านภาษาของผู้เขียนควรใช้ภาษาที่ถูกต้องเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันของผู้อ่าน

และความสบายในการอ่านผู้อ่านบางคนเห็นการเขียนผิดมากๆถึงกับมีอคติไปถึง

ตัวผู้เขียนเลยก็เป็นได้



4.สุภาพ


ถ้าบทความนั้นไม่ใช่บทความที่จะเอาความตลกโปกฮา ควรใช้ภาษาที่สุภาพ

ไม่หยาบคายโดยเฉพาะถ้าเป็นบทความที่พูดถึงบุคคลอื่นยิ่งต้องระวังในการ

เรื่องนี้เป็นอย่างมาก



5.เนื้อเรื่องที่นำเสนอ


เนื้อเรื่องที่เหมาะสมกับบทความคุณภาพนั้น ต้องเป็นความจริงไม่บิดเบือน

แก้ไขหรือเอาความจริงมาครึ่งเดียวควรนำข้อมุลมาแสดงให้ครบถ้วนการเล่า

เรื่องและเนื้อหาไม่ควร "วกไปวนมา"จนผู้อ่านงง แยกข้อมูลและเปรียบเทียบ

ตามประเภทของบทความให้ถูกต้อง



6.ส่วนเสริมของบทความ


ส่วนเสริมของบทความ บทความคุณภาพมักมาพร้อมกับส่วนประกอบที่ดีของ

บทความเช่นรูปภาพเพื่อความเข้าใจในเรื่องที่นพเสนอเพิ่มขึ้นหรือ วิดิโอคลิป

เป็นสื่ออีกอย่างที่สามารถเอามาประกอบบทความของเรา จะอะไรก็แล้วแต่ที่จะ

เอามาช่วยเสริมให้บทความดียิ่งขึ้นไปได้ มันคือสิ่งที่ดีทั้งนั้น



7.เกร็ดความรู้


เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบทความแต่ไม่ใช่เนื้อหาสำคัญอาจจะเป็นแค่ความรู้เพิ่มเติมที่

จะทำให้เข้าใจในตัวบทความได้ดียิ่งขึ้นหรือส่วนที่จะเพิ่มเติมความรู้ให้แก่ผู้อ่านให้

ได้สาระและอรรถรสในการอ่านมากกว่าเดิม เช่น พูดเรื่อง การล่มสลายอาณาจักร

โบราณ บางทีอาจเสริมไปว่าเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไปว่าอาณาจักรเหล่านั้นมี

อาถรรพ์จากการนับถือ..... ทำให้เกิดการล่มสลายเหมือนกัน ก็ว่าไป

(เป็นข้อสังเกตุข้อกล่าวอ้างให้ดูน่าสนใจเพิ่ม)



8.บทปิด


เป็นการสรุปรวมบทความที่เขียนหรือจะเป็นการให้ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนสื่อ

ไปถึงผู้อ่านอาจจะเป็นการชี้ให้เห็นหรือเน้นย้ำบางสิ่งบางอย่างในบทความให้ผู้อ่าน

ได้อ่านอีกรอบนึง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้อ่านจดจำและให้ความสำคัญได้มาก

ยิ่งขึ้น



9.ตรวจความเรียบร้อย


ตรวจสอบดูความรียบร้อยของบทความที่เราเขียน ทั้งภาษาที่ใช้ ความถูกต้อง

ของภาษาความถูกต้องของข้อมูล การเว้นวรรค การดำเนินเรื่องอ่านเพื่อขัดเกลา

คำให้สวยงามหรือให้เข้าใจง่ายอีกครั้งนึง ทั้งเป็นการขัดเกลาคำให้สวยงามและ

หาจุดบกพร่องของบทความว่าตรงไหนสมควรเพิ่มหรือลดบทความเนื้อหา วกไป

วนมาหรือไม่อ่านแล้วเราเองเข้าใจรึเปล่าเป็นต้น



 ทั้งหมดทั้งมวลถ้าท่านทำได้รับรองว่าบทความของท่านจะมีมาตราฐานที่ดีแต่ที่

สุดแล้วทุกอย่างอยู่ที่ เนื้อหา (Content) ที่มีคุณภาพเป็นตัววัดคุณภาพที่ดีที่สุดว่า

บทความของคุณสมควรได้ชื่อว่าบทความคุณภาพ ที่มีประโยชน์สาระ

และข้อคิดให้แก่ผู้อ่านได้มากแค่ไหน